คนไทยไว้ใจ “อินฟลูเอนเซอร์”? กระจกสะท้อนสังคมไทยยุคดิจิทัล
[เรื่อง: สิรินภา เพิ่มสกุลสิน]
ในยุคดิจิทัลที่ใครก็มีพื้นที่สื่อ อินฟลูเอนเซอร์จึงกลายเป็นผู้มีอิทธิพลต่อสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่งทางการ อำนาจของพวกเขามาจากผู้ติดตามและความเชื่อมั่นที่ได้รับ
อย่างไรก็ตาม หลายคนใช้พื้นที่อย่างไม่รับผิดชอบ มุ่งสร้างกระแส ยอดไลก์ และรายได้ โดยแชร์ข้อมูลที่ไม่ตรวจสอบหรือปลุกปั่นอารมณ์ ผลลัพธ์คือความแตกแยก ความเกลียดชัง และการบั่นทอนความเชื่อมั่นในสถาบัน ขณะเดียวกันบางคนสร้างภาพลักษณ์เกินจริง ตั้งฉายาเสริมบารมี จนผู้ติดตามหลงเชื่อ
แต่ก็มีอินฟลูเอนเซอร์อีกจำนวนไม่น้อยที่ใช้พลังในทางสร้างสรรค์ เช่น ระดมทุนช่วยผู้เดือดร้อน เผยแพร่ความรู้ด้านสุขภาพ การศึกษา หรือสิ่งแวดล้อม แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลออนไลน์สามารถเป็นพลังบวกได้
ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายเดียว แต่ยังสะท้อนโครงสร้างแพลตฟอร์มที่ให้รางวัลกับคอนเทนต์เร้าอารมณ์ และการสื่อสารภาครัฐที่ล่าช้า ขาดความน่าเชื่อถือ ทำให้ประชาชนหันไปพึ่งอินฟลูเอนเซอร์แทน
การแก้ปัญหาควรทำหลายระดับ
อินฟลูเอนเซอร์ ต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบ ตรวจสอบข้อมูล และหลีกเลี่ยงการปลุกปั่น
ประชาชน ต้องพัฒนาทักษะ “รู้เท่าทันสื่อ” ตั้งคำถามต่อข้อมูล ไม่แชร์โดยไม่คิด
ภาครัฐ ต้องสื่อสารรวดเร็ว โปร่งใส และสร้างกลไกยกระดับมาตรฐานสื่อ รวมถึงกำหนดจรรยาบรรณและบทลงโทษที่ชัดเจน
ท้ายที่สุด อินฟลูเอนเซอร์คือ “กระจกสะท้อนสังคม” หากเรายังให้ค่ากับคอนเทนต์ปลุกอารมณ์ไร้ข้อเท็จจริง ก็จะตอกย้ำความอ่อนแอ แต่หากสังคมยกย่องผู้ที่สื่อสารด้วยเหตุผลและความจริง อินฟลูเอนเซอร์ก็จะปรับตัวและกลายเป็นพลังสร้างสรรค์ได้
คนไทยไว้ใจ “อินฟลูเอนเซอร์”? กระจกสะท้อนสังคมไทยยุคดิจิทัล
[เรื่อง: สิรินภา เพิ่มสกุลสิน]
ในยุคดิจิทัลที่ใครก็มีพื้นที่สื่อ อินฟลูเอนเซอร์จึงกลายเป็นผู้มีอิทธิพลต่อสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่งทางการ อำนาจของพวกเขามาจากผู้ติดตามและความเชื่อมั่นที่ได้รับ
อย่างไรก็ตาม หลายคนใช้พื้นที่อย่างไม่รับผิดชอบ มุ่งสร้างกระแส ยอดไลก์ และรายได้ โดยแชร์ข้อมูลที่ไม่ตรวจสอบหรือปลุกปั่นอารมณ์ ผลลัพธ์คือความแตกแยก ความเกลียดชัง และการบั่นทอนความเชื่อมั่นในสถาบัน ขณะเดียวกันบางคนสร้างภาพลักษณ์เกินจริง ตั้งฉายาเสริมบารมี จนผู้ติดตามหลงเชื่อ
แต่ก็มีอินฟลูเอนเซอร์อีกจำนวนไม่น้อยที่ใช้พลังในทางสร้างสรรค์ เช่น ระดมทุนช่วยผู้เดือดร้อน เผยแพร่ความรู้ด้านสุขภาพ การศึกษา หรือสิ่งแวดล้อม แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลออนไลน์สามารถเป็นพลังบวกได้
ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายเดียว แต่ยังสะท้อนโครงสร้างแพลตฟอร์มที่ให้รางวัลกับคอนเทนต์เร้าอารมณ์ และการสื่อสารภาครัฐที่ล่าช้า ขาดความน่าเชื่อถือ ทำให้ประชาชนหันไปพึ่งอินฟลูเอนเซอร์แทน
การแก้ปัญหาควรทำหลายระดับ
อินฟลูเอนเซอร์ ต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบ ตรวจสอบข้อมูล และหลีกเลี่ยงการปลุกปั่น
ประชาชน ต้องพัฒนาทักษะ “รู้เท่าทันสื่อ” ตั้งคำถามต่อข้อมูล ไม่แชร์โดยไม่คิด
ภาครัฐ ต้องสื่อสารรวดเร็ว โปร่งใส และสร้างกลไกยกระดับมาตรฐานสื่อ รวมถึงกำหนดจรรยาบรรณและบทลงโทษที่ชัดเจน
ท้ายที่สุด อินฟลูเอนเซอร์คือ “กระจกสะท้อนสังคม” หากเรายังให้ค่ากับคอนเทนต์ปลุกอารมณ์ไร้ข้อเท็จจริง ก็จะตอกย้ำความอ่อนแอ แต่หากสังคมยกย่องผู้ที่สื่อสารด้วยเหตุผลและความจริง อินฟลูเอนเซอร์ก็จะปรับตัวและกลายเป็นพลังสร้างสรรค์ได้
0 Comments
0 Shares
514 Views
0 Reviews