• ย้อนตำนาน 50 ปี เขมรแดงบุกยึดพนมเปญ จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชา ... #แผ่นดินต้องคำสาป
    เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๑๘ เมื่อกองกำลังเขมรแดง (Khmer Rouge) สามารถเข้าบุกยึดเมืองหลวงของประเทศ และควบคุมการปกครองของนายพลลอน นอล (Lon Nol) ซึ่งเป็นเผด็จการทหาร โดยมีรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ดีใจของประชาชนที่ออกมาต้อนรับขับสู้ตามริมทาง มอบดอกไม้ต่างกำลังใจให้ผู้พิชิตเหล่านั้น โดยหารู้ไม่ว่า ในอีกไม่กี่เพลา ชีวิตของพวกเขากำลังเดินทางไปสู่เงื้อมมือของพญามัจจุราช
    เขมรแดง ซึ่งเป็นกองกำลังที่มีหัวขบวนหลักในการขับเคลื่อนโดยอดีตกลุ่มนักศึกษา "ปัญญาชนปารีส" อย่างพล พต (Pol Pot) เอียง ซารี เขียว สัมพัน ซอน เซน ฯลฯ ได้ยืนหยัดและยึดมั่นในอุดมการณ์ลัทธิซ้าย (คอมมิวนิสต์) อย่างสุดโต่งในการปฏิวัติกัมพูชา พวกเขามีความเชื่อว่า สังคมจะบังเกิดความจำเริญได้ ต้องมีความยุติธรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีความเท่าเทียม ความเท่าเทียมที่ว่านี้ รวมไปถึงความเท่าเทียมในความเป็นอยู่ ความเท่าเทียมทางรายได้ ความเท่าเทียมทางการศึกษา เป็นต้นว่า ทุกคนต้องทำงาน มีอาชีพเหมือนกัน คือ ใช้แรงงาน เป็น labour ตามทุ่งนาต่างๆ เพื่อป้อนผลผลิตเข้าสู่ "องค์การ (Angkar) — ชื่อเรียกส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา" อยู่แบบเดียวกัน อาศัยร่วมกันในค่ายที่เรียกว่า "คอมมูน (Commune)" ทั้งนี้ ยังไม่นับไปถึงความเท่าเทียมในเรื่องส่วนบุคคลอย่าง การแต่งกายที่ต้องเหมือนกัน คือ สวมชุดสีดำ โพกผ้าขาวม้า ห้ามมีทรัพย์สินส่วนตัว แม้แต่สบู่ แปรงสีฟัน ข้าวของจำเป็นในการอุปโภคบริโภค องค์การก็จะเป็นคนจัดให้ ไม่วายกระทั่ง "เลือกคู่ครอง" ให้ โดยอ้าง "เหตุผลของรัฐ (raison d'état)"
    ในกรุงพนมเปญ เขมรแดงเกณฑ์ผู้คนชาวกรุงนับล้านอพยพออกจากเมือง โดยโกหกว่า กองทัพสหรัฐฯ เตรียมการทิ้งระเบิด ชาวกรุงเหล่านั้น เป็นชนชั้นกลาง ปัญญาชน เศรษฐี ซึ่งถือเป็น "ชนชั้นนำ (elite)" ที่เขมรแดงตราหน้าว่าเป็น "ศัตรูของรัฐ" ในเวลาต่อมา ถูกบังคับให้ต้องเดินเป็นระยะทางหลายกิโล กระจายกันไปตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ตามแต่คำสั่งขององค์การ พวกเขาถูกนำตัวไปที่ค่าย (Commune) ที่ตั้งอยู่ตามทุ่งนาโล่งๆ หลายสิบแห่ง ที่ขนาดใหญ่และมีความสำคัญ เช่น ค่ายเสียมเรียบ พระตะบอง กันดาล เป็นต้น
    ตลอดระยะเวลาเกือบ ๔ ปีที่เขมรแดงขึ้นปกครองประเทศ กรุงพนมเปญกลายเป็นเมืองร้าง ไฟฟ้า ประปาไม่มีใช้ ยกเลิกโรงเรียน ธนาคาร โรงพยาบาล สาธารณูปโภคทุกอย่างถูกทำลาย เน้นการโดดเดี่ยวตัวเองเพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบยังชีพตามอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ คนทุกคนมีอาชีพเป็นแรงงาน ต้องทำงาน "เพื่อส่วนรวม" โดยไม่คิดถึงตัวเอง ๑๒ ชั่วโมง/วัน ตามทุ่งนา และจะได้รับอาหารจากองค์การเป็น "ข้าวเปล่าต้มสุก" ๑ กระป๋อง วันละ ๑ มื้อ ที่ถือได้ว่า "ดีแล้ว" เมื่อเทียบกับในคุก S-21 (ตวลสเลง) ที่ใช้คุมขัง "ศัตรูของรัฐ" ซึ่งได้รับอาหารเพียงข้าวต้ม ๓ ช้อน/วัน
    ด้วยการกดขี่ ใช้แรงงานอย่างไร้มนุษยธรรม ประกอบกับภาวะอาหารขาดแคลน อดอยาก มีผู้คนต้องล้มตายจากการขาดสารอาหาร การเจ็บป่วยที่ไม่มีแม้แต่ยารักษา เพราะแพทย์ถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น ในฐานะ "ปัญญาชน" ซึ่งเป็นศัตรูของรัฐ คนป่วยต้องพึ่งพาสมุนไพร ใบไม้ในป่าพอประทัง และยังต้องทำงานเฉกเช่นเดียวกับคนปกติ การอู้งานอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของข้อหา "ทรยศต่อองค์การ" ซึ่งแน่นอนว่าบทลงโทษของมันคือ "ความตาย"
    "ความตาย" กลายเป็น "มรณานุสสติ" ที่คนเขมรหวาดสะพรึงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ปัญญาชน คนต่างชาติ แม้แต่ "คนใส่แว่น" จะถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด บ้างก็ถูกส่งไปทรมานในคุกพิเศษ บ้างก็ถูกฆ่ารวมกับ "พวกอู้งาน" กลางทุ่งนา จึงเป็นที่มาของคำเรียกว่า "ทุ่งสังหาร (killing field)"
    ท้ายที่สุด ภายใต้การนำของอดีตสมุนเขมรแดง ซึ่งรวมไปถึงนายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบันอย่าง "ฮุน เซ็น" ได้ร่วมมือกับกองทัพเวียดนาม ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์คนละสายกับเขมรแดง (เวียดนามได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต ส่วนเขมรแดงได้รับการสนับสนุนจากจีน) เข้าบุกโจมตีกองทัพเขมรแดง เข้าปลดแอกประชาชนกัมพูชา จนได้รับชัยชนะ ควบคุมพนมเปญ และเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ในปี ๒๕๒๒ ก่อนที่ความสูญเสียจะทวีคูณขึ้นเกิน ๓ ล้านคน หรือประมาณ ๑ ใน ๓ ของประชากรเขมรทั้งประเทศ
    ขอบพระคุณบทความจาก คุณ @Kanarop Chaiyasit
    ย้อนตำนาน 50 ปี เขมรแดงบุกยึดพนมเปญ จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชา ... #แผ่นดินต้องคำสาป เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๑๘ เมื่อกองกำลังเขมรแดง (Khmer Rouge) สามารถเข้าบุกยึดเมืองหลวงของประเทศ และควบคุมการปกครองของนายพลลอน นอล (Lon Nol) ซึ่งเป็นเผด็จการทหาร โดยมีรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ดีใจของประชาชนที่ออกมาต้อนรับขับสู้ตามริมทาง มอบดอกไม้ต่างกำลังใจให้ผู้พิชิตเหล่านั้น โดยหารู้ไม่ว่า ในอีกไม่กี่เพลา ชีวิตของพวกเขากำลังเดินทางไปสู่เงื้อมมือของพญามัจจุราช เขมรแดง ซึ่งเป็นกองกำลังที่มีหัวขบวนหลักในการขับเคลื่อนโดยอดีตกลุ่มนักศึกษา "ปัญญาชนปารีส" อย่างพล พต (Pol Pot) เอียง ซารี เขียว สัมพัน ซอน เซน ฯลฯ ได้ยืนหยัดและยึดมั่นในอุดมการณ์ลัทธิซ้าย (คอมมิวนิสต์) อย่างสุดโต่งในการปฏิวัติกัมพูชา พวกเขามีความเชื่อว่า สังคมจะบังเกิดความจำเริญได้ ต้องมีความยุติธรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีความเท่าเทียม ความเท่าเทียมที่ว่านี้ รวมไปถึงความเท่าเทียมในความเป็นอยู่ ความเท่าเทียมทางรายได้ ความเท่าเทียมทางการศึกษา เป็นต้นว่า ทุกคนต้องทำงาน มีอาชีพเหมือนกัน คือ ใช้แรงงาน เป็น labour ตามทุ่งนาต่างๆ เพื่อป้อนผลผลิตเข้าสู่ "องค์การ (Angkar) — ชื่อเรียกส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา" อยู่แบบเดียวกัน อาศัยร่วมกันในค่ายที่เรียกว่า "คอมมูน (Commune)" ทั้งนี้ ยังไม่นับไปถึงความเท่าเทียมในเรื่องส่วนบุคคลอย่าง การแต่งกายที่ต้องเหมือนกัน คือ สวมชุดสีดำ โพกผ้าขาวม้า ห้ามมีทรัพย์สินส่วนตัว แม้แต่สบู่ แปรงสีฟัน ข้าวของจำเป็นในการอุปโภคบริโภค องค์การก็จะเป็นคนจัดให้ ไม่วายกระทั่ง "เลือกคู่ครอง" ให้ โดยอ้าง "เหตุผลของรัฐ (raison d'état)" ในกรุงพนมเปญ เขมรแดงเกณฑ์ผู้คนชาวกรุงนับล้านอพยพออกจากเมือง โดยโกหกว่า กองทัพสหรัฐฯ เตรียมการทิ้งระเบิด ชาวกรุงเหล่านั้น เป็นชนชั้นกลาง ปัญญาชน เศรษฐี ซึ่งถือเป็น "ชนชั้นนำ (elite)" ที่เขมรแดงตราหน้าว่าเป็น "ศัตรูของรัฐ" ในเวลาต่อมา ถูกบังคับให้ต้องเดินเป็นระยะทางหลายกิโล กระจายกันไปตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ตามแต่คำสั่งขององค์การ พวกเขาถูกนำตัวไปที่ค่าย (Commune) ที่ตั้งอยู่ตามทุ่งนาโล่งๆ หลายสิบแห่ง ที่ขนาดใหญ่และมีความสำคัญ เช่น ค่ายเสียมเรียบ พระตะบอง กันดาล เป็นต้น ตลอดระยะเวลาเกือบ ๔ ปีที่เขมรแดงขึ้นปกครองประเทศ กรุงพนมเปญกลายเป็นเมืองร้าง ไฟฟ้า ประปาไม่มีใช้ ยกเลิกโรงเรียน ธนาคาร โรงพยาบาล สาธารณูปโภคทุกอย่างถูกทำลาย เน้นการโดดเดี่ยวตัวเองเพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบยังชีพตามอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ คนทุกคนมีอาชีพเป็นแรงงาน ต้องทำงาน "เพื่อส่วนรวม" โดยไม่คิดถึงตัวเอง ๑๒ ชั่วโมง/วัน ตามทุ่งนา และจะได้รับอาหารจากองค์การเป็น "ข้าวเปล่าต้มสุก" ๑ กระป๋อง วันละ ๑ มื้อ ที่ถือได้ว่า "ดีแล้ว" เมื่อเทียบกับในคุก S-21 (ตวลสเลง) ที่ใช้คุมขัง "ศัตรูของรัฐ" ซึ่งได้รับอาหารเพียงข้าวต้ม ๓ ช้อน/วัน ด้วยการกดขี่ ใช้แรงงานอย่างไร้มนุษยธรรม ประกอบกับภาวะอาหารขาดแคลน อดอยาก มีผู้คนต้องล้มตายจากการขาดสารอาหาร การเจ็บป่วยที่ไม่มีแม้แต่ยารักษา เพราะแพทย์ถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น ในฐานะ "ปัญญาชน" ซึ่งเป็นศัตรูของรัฐ คนป่วยต้องพึ่งพาสมุนไพร ใบไม้ในป่าพอประทัง และยังต้องทำงานเฉกเช่นเดียวกับคนปกติ การอู้งานอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของข้อหา "ทรยศต่อองค์การ" ซึ่งแน่นอนว่าบทลงโทษของมันคือ "ความตาย" "ความตาย" กลายเป็น "มรณานุสสติ" ที่คนเขมรหวาดสะพรึงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ปัญญาชน คนต่างชาติ แม้แต่ "คนใส่แว่น" จะถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด บ้างก็ถูกส่งไปทรมานในคุกพิเศษ บ้างก็ถูกฆ่ารวมกับ "พวกอู้งาน" กลางทุ่งนา จึงเป็นที่มาของคำเรียกว่า "ทุ่งสังหาร (killing field)" ท้ายที่สุด ภายใต้การนำของอดีตสมุนเขมรแดง ซึ่งรวมไปถึงนายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบันอย่าง "ฮุน เซ็น" ได้ร่วมมือกับกองทัพเวียดนาม ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์คนละสายกับเขมรแดง (เวียดนามได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต ส่วนเขมรแดงได้รับการสนับสนุนจากจีน) เข้าบุกโจมตีกองทัพเขมรแดง เข้าปลดแอกประชาชนกัมพูชา จนได้รับชัยชนะ ควบคุมพนมเปญ และเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ในปี ๒๕๒๒ ก่อนที่ความสูญเสียจะทวีคูณขึ้นเกิน ๓ ล้านคน หรือประมาณ ๑ ใน ๓ ของประชากรเขมรทั้งประเทศ ขอบพระคุณบทความจาก คุณ @Kanarop Chaiyasit
    0 Comments 0 Shares 1K Views 0 Reviews
  • สิ่งที่ฮุนเซนต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่การสู้รบชายแดน แต่คือการกำจัดทหารที่อาจไม่ภักดีต่ออำนาจของตระกูลฮุน?
    ตอนนี้ฮุนเซนลดงบประมาณของกองทัพลงอย่างมีนัยยะ แล้วโยกเงินไปสร้าง “กองกำลังพิเศษ” ที่มีเฉพาะคนใกล้ชิดเท่านั้นที่ได้ใช้อาวุธทันสมัย
    ทหารกัมพูชาธรรมดาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสอาวุธเหล่านั้น แต่กลับถูกส่งไปตายชายแดน ด้วยคำว่ารักชาติบังหน้า
    ล่าสุด ฮุน เซนกำลังจะส่ง “กองทัพเรือ” มาปะทะ ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิพาททางทะเลกับไทย เรือรบก็ยังไม่มีพร้อม แต่นายพลกับกำลังพลกลับถูกสั่งให้ออกหน้าไปตาย
    นี่มันแปลกเกินไป และชัดเจนว่าไม่ใช่สงครามเพื่อประเทศชาติ แต่คือสงครามเพื่อรักษาอำนาจของตระกูล
    ไม่มีผู้นำที่ไหนในโลกจะบ้าเลือดถึงขนาดส่งลูกน้องตัวเองไปตาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าแพ้แน่
    ประเทศเล็กอย่างกัมพูชา ประชาคมโลกอาจไม่ใส่ใจ แต่ความจริงคือ… ทหารกัมพูชากำลังถูกใช้เป็นเหยื่อในเกมอำนาจของคนๆ เดียว
    What Hun Sen truly wants isn’t just a border war — it’s to eliminate soldiers who may no longer be loyal to his dynasty.
    He has quietly slashed the national military budget and redirected funds to build a “special guard force” equipped with state-of-the-art weapons, available only to those loyal to him personally.
    Ordinary Cambodian soldiers never even get to touch this kind of equipment. Instead, they’re sent to die on the frontlines — all in the name of nationalism.
    And now, Hun Sen is preparing to send the navy to the battlefield — even though there is no maritime dispute with Thailand. There aren’t even proper warships ready, yet generals and sailors are being deployed to die.
    It’s not just strange. It’s strategic.
    This is not a war for the country. It’s a purge — a calculated operation to remove anyone in uniform who might challenge the Hun dynasty’s grip on power.
    No rational leader would send his own men to die knowing they will lose — unless death is the plan.
    The world may ignore a small country like Cambodia, but the truth is this:
    Cambodian soldiers are being sacrificed — not for the nation — but for one man’s throne.
    អ្វីដែលហ៊ុន សែនចង់បានមែនមិនមែនសង្គ្រាមព្រំដែនទេ — តែគឺការបញ្ជប់ទាហានដែលអាចនឹងមិនស្មោះត្រង់នឹងរាជវង្សរបស់គាត់។
    គាត់បានកាត់បន្ថយថវិកាថ្នាក់យោធាជាសម្ងាត់ ហើយបញ្ចូនថវិកាទៅកែលំអកងពិសេសសម្រាប់ការការពារខ្លួនឯង ដែលមានអាវុធស្ទើរតែទំនើបបំផុត ហើយមានតែអ្នកដែលស្មោះត្រង់តែប៉ុណ្ណោះទទួលបាន។
    ទាហានជាធម្មតាមិនបានស្ទាប់ដល់អាវុធទំនើបទេ។ តែនៅទីបំផុត ត្រូវបញ្ជូនទៅស្លាប់នៅតំបន់ព្រំដែន ដោយប្រើពាក្យថា “ស្មោះនឹងជាតិ” ជាអាវការពារ។
    ឥឡូវនេះ ហ៊ុន សែនកំពុងរៀបចំផ្ញើកងទ័ពជើងទឹកចូលសង្រ្គាម ទោះបីជាមិនមានវិវាទសមុទ្រជាមួយថៃផងដែរ។ កប៉ាល់ប្រយុទ្ធក៏មិនទាន់មានត្រៀមខ្លួនរួចផង ស៉ាងតែឧត្តមសេនីយ៍ និងទាហានត្រូវបានផ្ញើឲ្យទៅស្លាប់។
    នេះមិនមែនគ្រាន់តែចម្លែកទេ — តែជាយុទ្ធសាស្រ្ត។
    នេះមិនមែនជាសង្គ្រាមដើម្បីប្រទេសនោះទេ។ តែជាការបំផ្លាញមនុស្សក្នុងយុទ្ធភោគដែលអាចជាបញ្ហាដល់អំណាចរបស់គាត់។
    មិនមានមេដឹកនាំណាដែលស្មារតីទៀសទេនឹងបញ្ជូនកងទ័ពឯងទៅស្លាប់ ប្រសិនបើគាត់ដឹងថាពួកគេនឹងចាញ់ — លើកលែងតែ “ការស្លាប់” ជាគម្រោងដើម។
    ពិភពលោកអាចមិនខ្វល់អំពីប្រទេសតូចៗដូចជា កម្ពុជា។ តែការពិតគឺ៖
    ទាហានកម្ពុជាកំពុងត្រូវបានប្រើជាសាច់ញាតិ នៅក្នុងហ្គេមអំណាចរបស់មនុស្សតែម្ដង។
    #แฉฮุนเซน
    #ทหารเขมรถูกหลอก
    #สงครามเพื่ออำนาจ
    #ฮุนเซนส่งคนมาตาย
    #กองทัพส่วนตัวฮุนเซน
    #ทหารธรรมดาคือเหยื่อ
    #ล้างบางกองทัพ
    #เขมรไม่ใช่ของตระกูลเดียว
    #หยุดฮุนราชวงศ์
    #กัมพูชายิงก่อน
    #เกมการเมืองใช้เลือดคน
    #ปกป้องแผ่นดินไทย
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #กัมพูชายิงก่อน
    #CambodiaOpenedFire
    #hunsenwarcriminal
    #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม
    #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន
    #洪森戰爭罪犯
    CR CSI LA
    สิ่งที่ฮุนเซนต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่การสู้รบชายแดน แต่คือการกำจัดทหารที่อาจไม่ภักดีต่ออำนาจของตระกูลฮุน? ตอนนี้ฮุนเซนลดงบประมาณของกองทัพลงอย่างมีนัยยะ แล้วโยกเงินไปสร้าง “กองกำลังพิเศษ” ที่มีเฉพาะคนใกล้ชิดเท่านั้นที่ได้ใช้อาวุธทันสมัย ทหารกัมพูชาธรรมดาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสอาวุธเหล่านั้น แต่กลับถูกส่งไปตายชายแดน ด้วยคำว่ารักชาติบังหน้า ล่าสุด ฮุน เซนกำลังจะส่ง “กองทัพเรือ” มาปะทะ ทั้งๆ ที่ไม่มีข้อพิพาททางทะเลกับไทย เรือรบก็ยังไม่มีพร้อม แต่นายพลกับกำลังพลกลับถูกสั่งให้ออกหน้าไปตาย นี่มันแปลกเกินไป และชัดเจนว่าไม่ใช่สงครามเพื่อประเทศชาติ แต่คือสงครามเพื่อรักษาอำนาจของตระกูล ไม่มีผู้นำที่ไหนในโลกจะบ้าเลือดถึงขนาดส่งลูกน้องตัวเองไปตาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าแพ้แน่ ประเทศเล็กอย่างกัมพูชา ประชาคมโลกอาจไม่ใส่ใจ แต่ความจริงคือ… ทหารกัมพูชากำลังถูกใช้เป็นเหยื่อในเกมอำนาจของคนๆ เดียว What Hun Sen truly wants isn’t just a border war — it’s to eliminate soldiers who may no longer be loyal to his dynasty. He has quietly slashed the national military budget and redirected funds to build a “special guard force” equipped with state-of-the-art weapons, available only to those loyal to him personally. Ordinary Cambodian soldiers never even get to touch this kind of equipment. Instead, they’re sent to die on the frontlines — all in the name of nationalism. And now, Hun Sen is preparing to send the navy to the battlefield — even though there is no maritime dispute with Thailand. There aren’t even proper warships ready, yet generals and sailors are being deployed to die. It’s not just strange. It’s strategic. This is not a war for the country. It’s a purge — a calculated operation to remove anyone in uniform who might challenge the Hun dynasty’s grip on power. No rational leader would send his own men to die knowing they will lose — unless death is the plan. The world may ignore a small country like Cambodia, but the truth is this: Cambodian soldiers are being sacrificed — not for the nation — but for one man’s throne. អ្វីដែលហ៊ុន សែនចង់បានមែនមិនមែនសង្គ្រាមព្រំដែនទេ — តែគឺការបញ្ជប់ទាហានដែលអាចនឹងមិនស្មោះត្រង់នឹងរាជវង្សរបស់គាត់។ គាត់បានកាត់បន្ថយថវិកាថ្នាក់យោធាជាសម្ងាត់ ហើយបញ្ចូនថវិកាទៅកែលំអកងពិសេសសម្រាប់ការការពារខ្លួនឯង ដែលមានអាវុធស្ទើរតែទំនើបបំផុត ហើយមានតែអ្នកដែលស្មោះត្រង់តែប៉ុណ្ណោះទទួលបាន។ ទាហានជាធម្មតាមិនបានស្ទាប់ដល់អាវុធទំនើបទេ។ តែនៅទីបំផុត ត្រូវបញ្ជូនទៅស្លាប់នៅតំបន់ព្រំដែន ដោយប្រើពាក្យថា “ស្មោះនឹងជាតិ” ជាអាវការពារ។ ឥឡូវនេះ ហ៊ុន សែនកំពុងរៀបចំផ្ញើកងទ័ពជើងទឹកចូលសង្រ្គាម ទោះបីជាមិនមានវិវាទសមុទ្រជាមួយថៃផងដែរ។ កប៉ាល់ប្រយុទ្ធក៏មិនទាន់មានត្រៀមខ្លួនរួចផង ស៉ាងតែឧត្តមសេនីយ៍ និងទាហានត្រូវបានផ្ញើឲ្យទៅស្លាប់។ នេះមិនមែនគ្រាន់តែចម្លែកទេ — តែជាយុទ្ធសាស្រ្ត។ នេះមិនមែនជាសង្គ្រាមដើម្បីប្រទេសនោះទេ។ តែជាការបំផ្លាញមនុស្សក្នុងយុទ្ធភោគដែលអាចជាបញ្ហាដល់អំណាចរបស់គាត់។ មិនមានមេដឹកនាំណាដែលស្មារតីទៀសទេនឹងបញ្ជូនកងទ័ពឯងទៅស្លាប់ ប្រសិនបើគាត់ដឹងថាពួកគេនឹងចាញ់ — លើកលែងតែ “ការស្លាប់” ជាគម្រោងដើម។ ពិភពលោកអាចមិនខ្វល់អំពីប្រទេសតូចៗដូចជា កម្ពុជា។ តែការពិតគឺ៖ ទាហានកម្ពុជាកំពុងត្រូវបានប្រើជាសាច់ញាតិ នៅក្នុងហ្គេមអំណាចរបស់មនុស្សតែម្ដង។ #แฉฮุนเซน #ทหารเขมรถูกหลอก #สงครามเพื่ออำนาจ #ฮุนเซนส่งคนมาตาย #กองทัพส่วนตัวฮุนเซน #ทหารธรรมดาคือเหยื่อ #ล้างบางกองทัพ #เขมรไม่ใช่ของตระกูลเดียว #หยุดฮุนราชวงศ์ #กัมพูชายิงก่อน #เกมการเมืองใช้เลือดคน #ปกป้องแผ่นดินไทย #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #hunsenwarcriminal #ฮุนเซนอาชญากรสงคราม #ឧក្រិដ្ឋជនហ៊ុនសែន #洪森戰爭罪犯 CR CSI LA
    0 Comments 0 Shares 3K Views 0 Reviews
  • ((( นักวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียมออสเตรเลีย พบหลักฐาน ความขัดแย้งเริ่มจากฝั่งกัมพูชา - Australian satellite imagery analyst finds evidence that the conflict was initiated from the Cambodian side. (English below) )))
    คุณนาธาน รูเซอร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียม ของ Australian Strategic Policy Institute หรือ ASPI บอกว่าเขานั่งไล่ดูข้อมูลแล้ว สถานการณ์ที่ถูกยกระดับส่วนใหญ่น่าจะเริ่มต้นจากฝั่งกัมพูชา โดยทหารของกัมพูชาได้เสริมกำลังในหลายพื้นที่ก่อนการปะทะเมื่อวันที่ 28 พ.ค. (ไม่ใช่รอบนี้นะครับ หมายถึง รอบเดือน พ.ค. ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งรอบนี้) และกัมพูชายังเร่งส่งทรัพยากรทางยุทธศาสตร์เพิ่มเติมทันทีหลังเหตุการณ์
    โดยเขาแนบแผนที่แสดงความหนาแน่นของกิจกรรมทางทหารของกัมพูชาก่อนวันที่ 24 ก.ค. มาด้วย
    นักวิเคราะห์คนนี้ทำข่าวพื้นที่สงครามมาหลายจุด ทั้งยูเครน พม่า ค่อนข้างแม่นยำ ที่ผ่านมามีสื่อใหญ่นำข้อมูลของเขาไปใช้บ่อยครั้ง
    ข้อมูลดาวเทียมนี้เป็นของที่บิดผันไม่ได้ ขอให้ทุกท่านช่วยกันแชร์ออกไป เพื่อยืนยันแก่ชาวโลกว่าเกิดอะไรขึ้น
    ด้านล่างผม (เพจเดอะไวลด์โครนิเคิลส์) แปลอังกฤษไว้ให้นะครับ
    Mr. Nathan Ruser, a satellite imagery analyst at the Australian Strategic Policy Institute (ASPI), stated that after closely examining the data, most of the escalation appears to have originated from the Cambodian side. Cambodian troops reinforced several areas prior to the May 28 clashes (refer to the earlier event which marked the beginning of this current conflict). Cambodia also rapidly deployed additional strategic assets immediately following the incident.
    He included a heatmap showing the concentration of Cambodian military activity prior to July 24.
    Mr. Ruser has covered conflict zones in multiple regions—including Ukraine and Myanmar—and has built a reputation for accuracy. His findings are frequently cited by major international media outlets.
    Satellite data of this nature is immutable. We urge everyone to share this widely, so the world can clearly see what has really taken place.
    Cr. The Wild Chronicles - ประวัติศาสตร์ ข่าวต่างประเทศ ท่องเที่ยวที่แปลก ; Drama-addict
    #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire กองทัพอากาศพร้อมยืนหยัดเคียงข้างเสมอ กองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force
    ((( นักวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียมออสเตรเลีย พบหลักฐาน ความขัดแย้งเริ่มจากฝั่งกัมพูชา - Australian satellite imagery analyst finds evidence that the conflict was initiated from the Cambodian side. (English below) ))) คุณนาธาน รูเซอร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียม ของ Australian Strategic Policy Institute หรือ ASPI บอกว่าเขานั่งไล่ดูข้อมูลแล้ว สถานการณ์ที่ถูกยกระดับส่วนใหญ่น่าจะเริ่มต้นจากฝั่งกัมพูชา โดยทหารของกัมพูชาได้เสริมกำลังในหลายพื้นที่ก่อนการปะทะเมื่อวันที่ 28 พ.ค. (ไม่ใช่รอบนี้นะครับ หมายถึง รอบเดือน พ.ค. ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งรอบนี้) และกัมพูชายังเร่งส่งทรัพยากรทางยุทธศาสตร์เพิ่มเติมทันทีหลังเหตุการณ์ โดยเขาแนบแผนที่แสดงความหนาแน่นของกิจกรรมทางทหารของกัมพูชาก่อนวันที่ 24 ก.ค. มาด้วย นักวิเคราะห์คนนี้ทำข่าวพื้นที่สงครามมาหลายจุด ทั้งยูเครน พม่า ค่อนข้างแม่นยำ ที่ผ่านมามีสื่อใหญ่นำข้อมูลของเขาไปใช้บ่อยครั้ง ข้อมูลดาวเทียมนี้เป็นของที่บิดผันไม่ได้ ขอให้ทุกท่านช่วยกันแชร์ออกไป เพื่อยืนยันแก่ชาวโลกว่าเกิดอะไรขึ้น ด้านล่างผม (เพจเดอะไวลด์โครนิเคิลส์) แปลอังกฤษไว้ให้นะครับ Mr. Nathan Ruser, a satellite imagery analyst at the Australian Strategic Policy Institute (ASPI), stated that after closely examining the data, most of the escalation appears to have originated from the Cambodian side. Cambodian troops reinforced several areas prior to the May 28 clashes (refer to the earlier event which marked the beginning of this current conflict). Cambodia also rapidly deployed additional strategic assets immediately following the incident. He included a heatmap showing the concentration of Cambodian military activity prior to July 24. Mr. Ruser has covered conflict zones in multiple regions—including Ukraine and Myanmar—and has built a reputation for accuracy. His findings are frequently cited by major international media outlets. Satellite data of this nature is immutable. We urge everyone to share this widely, so the world can clearly see what has really taken place. Cr. The Wild Chronicles - ประวัติศาสตร์ ข่าวต่างประเทศ ท่องเที่ยวที่แปลก ; Drama-addict #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire กองทัพอากาศพร้อมยืนหยัดเคียงข้างเสมอ กองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force
    0 Comments 0 Shares 2K Views 0 Reviews
  • "หน้าเบา แต่เป๊ะเวอร์! แป้งศรีจันทร์ตัวนี้บางเบาแต่คุมมันดีเกินคาด
    ใช้แล้วผิวเนียน ไม่ดรอประหว่างวัน
    พกตลับเดียวจบ ล็อกลุคใสๆ เหมือนไม่แต่ง แต่เป๊ะทั้งวัน
    ของหมดไวมาก รีบกดก่อนของหมด
    https://areemart.com/product/aucqh

    #ไม่พูดเยอะแต่รักมาก #แป้งศรีจันทร์ #Areemart
    "หน้าเบา แต่เป๊ะเวอร์! ✨ แป้งศรีจันทร์ตัวนี้บางเบาแต่คุมมันดีเกินคาด ใช้แล้วผิวเนียน ไม่ดรอประหว่างวัน ✨ พกตลับเดียวจบ ล็อกลุคใสๆ เหมือนไม่แต่ง แต่เป๊ะทั้งวัน ของหมดไวมาก รีบกดก่อนของหมด 👇 https://areemart.com/product/aucqh #ไม่พูดเยอะแต่รักมาก #แป้งศรีจันทร์ #Areemart
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 2K Views 0 Reviews
  • หน้าเบา แต่เป๊ะเวอร์! แป้งศรีจันทร์ตัวนี้ บางเบาแต่คุมมันดีเกินคาด ใช้แล้วผิวเนียน ไม่ดรอประหว่างวัน พกตลับเดียวจบ ล็อกลุคใสๆเหมือนไม่แต่ง แต่เป๊ะทั้งวัน ไม่พูดเยอะแต่รักมากกก รีบกดก่อนของหมด https://areemart.com/product/aucqh #ศรีจันทร์ #แป้งศรีจันทร์ #Areemart
    😍 หน้าเบา แต่เป๊ะเวอร์! แป้งศรีจันทร์ตัวนี้ บางเบาแต่คุมมันดีเกินคาด ใช้แล้วผิวเนียน ไม่ดรอประหว่างวัน พกตลับเดียวจบ ล็อกลุคใสๆเหมือนไม่แต่ง แต่เป๊ะทั้งวัน ไม่พูดเยอะแต่รักมากกก รีบกดก่อนของหมด https://areemart.com/product/aucqh #ศรีจันทร์ #แป้งศรีจันทร์ #Areemart
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 4K Views 0 Reviews
  • ภายในโลงศพของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 1 ที่ถูกประหารชีวิต
    ชาร์ลส์ที่ 1 เป็นชายที่ขี้อาย ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ซึ่งสร้างหายนะให้กับกษัตริย์
    หลังจากที่เขาถูกประหารชีวิตในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1649 ร่างของเขาที่ผ่านการทำศพแล้วจะถูกบรรจุลงในโลงและนำไปที่โบสถ์เซนต์เจมส์ การฝังศพของเขาที่วินด์เซอร์จัดขึ้นโดยไม่มีพิธีรีตองใดๆ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1649 การที่ชาร์ลส์ที่ 1 ได้รับการฝังศพ ไม่ต้องพูดถึงการฝังที่พระราชวังวินด์เซอร์ ถือเป็นเรื่องโชคดีอย่างยิ่ง
    รายงานระบุว่าศีรษะของชาร์ลส์ถูกเย็บกลับเข้ากับร่างของเขาบนโต๊ะใหญ่ในคณบดีที่วินด์เซอร์ นี่คือที่ที่โลงศพถูกวางไว้ชั่วครู่หลังจากมาถึงปราสาทวินด์เซอร์ อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่สนับสนุนการกล่าวอ้างนี้ยังมีน้อย
    เป็นวันที่หนาวเย็นและมีหิมะตกในเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อโลงศพของชาร์ลส์ถูกหย่อนลงไปในห้องฝังพระศพซึ่งบรรจุร่างของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และพระราชินีเจน ซีเมอร์
    หลายปีต่อมา ราชวงศ์ “ลืม” ร่างของชาร์ลส์ไป บางคนคิดว่าชาร์ลส์ที่ 2 พระราชโอรสของพระองค์อาจนำร่างของพระองค์ไปฝังใหม่ที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มก่อสร้างสุสานที่โบสถ์เซนต์จอร์จในปี 1813 คนงานได้บังเอิญเปิดช่องบนผนังห้องเก็บศพที่ฝังพระศพของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และพระนางเจน ซีเมอร์
    นอกจากโลงศพของพระเจ้าเฮนรีและพระนางเจนแล้ว ยังมีโลงศพอีกสองโลง โลงศพที่สามถูกคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำ และยังมีโลงศพไม้มะฮอกกานีขนาดเล็กมากที่หุ้มด้วยกำมะหยี่สีแดงเข้มอีกด้วยโลงศพนี้วางอยู่บนผ้าคลุมของพระเจ้าชาร์ลส์
    โลงศพขนาดเล็กนี้บรรจุทารกที่เสียชีวิตในครรภ์ของราชินีแอนน์ในสมัยที่พระองค์เป็นเจ้าหญิงแห่งเดนมาร์ก เมื่อเจ้าชายผู้สำเร็จราชการทราบเรื่องการค้นพบนี้ พระองค์จึงทรงอนุมัติให้ตรวจสอบโลงศพ การค้นพบนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 1813
    เจ้าชายผู้สำเร็จราชการเสด็จเข้าไปในห้องฝังศพ พร้อมด้วยดยุคแห่งคัมเบอร์แลนด์ เคานต์มุนสเตอร์ คณบดีแห่งวินด์เซอร์ เบนจามิน ชาลส์ สตีเวนสัน และเซอร์เฮนรี่ ฮาลฟอร์ด
    ผ้ากำมะหยี่สีดำถูกดึงออกเผยให้เห็นโลงศพตะกั่วธรรมดามีพระนามของพระเจ้าชาร์ลส์จารึกไว้ และปี ค.ศ. 1649 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์สวรรคต จากนั้นจึงเปิดฝาโลงและนำผ้าที่ปิดอยู่บนเศียรของกษัตริย์ออก
    เซอร์ เฮนรี ฮาลฟอร์ดรายงานว่าเขาเห็นใบหน้ารูปไข่เรียวยาวพร้อมเคราแหลม ซึ่งดูคล้ายกับที่อยู่บนเหรียญ รูปปั้นครึ่งตัว และรูปภาพของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 มาก
    ศีรษะถูกนำออกจากโลงศพเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด มีการสังเกตเห็นว่าศีรษะถูกแยกออกจากร่างด้วยการกระแทกอย่างแรง
    ซึ่งเมื่อรวมกับจารึกบนโลงศพแล้ว พิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่านี่คือพระบรมศพของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 จริงๆ ส่วนที่เหลือของร่างกายไม่ได้รับการตรวจสอบ และโลงศพถูกบัดกรีไว้
    เรื่องราวของเราจะจบลงที่นี่หากไม่มีการเปิดห้องฝังศพบางส่วนอีกครั้งในวันที่ 13 ธันวาคม 1888 และเหตุผลที่น่าสนใจว่าทำไมเหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้น....
    ดูเหมือนว่าเมื่อมีการเปิดโลงศพครั้งแรกในปี 1813 แพทย์ประจำราชวงศ์เซอร์ เฮนรี่ ฮาลฟอร์ด ได้นำกระดูกบางส่วนจากร่างของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1ออกมา ซึ่งรวมถึงกระดูกสันหลังส่วนคอที่สี่ซึ่งมีรอยของขวาน ตลอดจนฟันและเคราบางส่วนของเขา ฮาลฟอร์ดอ้างว่าหลังจากปิดโลงศพแล้ว สิ่งของทั้งสามชิ้นนี้ ไม่ได้รวมอยู่ในโลงด้วย
    ในปี 1888 กระดูกดังกล่าวได้ถูกส่งไปอยู่ในมือของอัลเบิร์ต เจ้าชายแห่งเวลส์ โดยหลานชายของเซอร์เฮนรี ฮาลฟอร์ด
    เจ้าชายทรงแจ้งให้เจ้าคณะแห่งโบสถ์เซนต์จอร์จทราบว่า พระองค์ได้รับอนุญาตจากพระราชินีวิกตอเรีย พระมารดาแล้วให้คืนโบราณวัตถุเหล่านี้ไว้ที่ห้องเก็บศพ
    เวลา 18.00 น. ของวันที่ 13 ธันวาคม 1888 เจ้าคณะเดวิดสันได้ควบคุมดูแลการเคลื่อนย้ายแผ่นหินปูพื้นที่มีจารึกเหนือห้องเก็บศพ และแผ่นหินอ่อนสีดำและสีขาว 6 แผ่นออกไป เจ้าชายแห่งเวลส์เสด็จมาถึงหลัง 19.00 น. เล็กน้อย และทรงหย่อนกล่องบรรจุกระดูกลงมา แล้ววางไว้ตรงกลางโลงศพของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1
    จากนั้นเจ้าชายก็จากไป และห้องเก็บศพก็ถูกปิดทันที การดำเนินการทั้งหมดกระทำไปด้วยความเหมาะสมและสมศักดิ์ศรีสูงสุด
    อย่างไรก็ตาม สิ่งของอีกชิ้นหนึ่งยังคงอยู่ในคอลเลกชันของราชวงศ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขุดศพครั้งแรกในปี 1813 ซึ่งก็คือสร้อยคอทองคำและเคลือบอีนาเมลอันสวยงาม ซึ่งจอร์จประทานให้กับเจ้าหญิงชาร์ล็อตต์ พระธิดาของพระองค์ ภายในมีเส้นผมอยู่
    มีจารึกยืนยันว่านี่คือพระเกศาของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ซึ่งถูกนำออกจากพระเศียรของพระองค์ในการขุดศพเมื่อปี 1813
    นับตั้งแต่มีการเปิดห้องเก็บศพครั้งที่สองในปี 1888 พระบรมศพของพระโอรสที่เสียชีวิตในครรภ์ของราชินีแอนน์ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 พระเจ้าเฮนรีที่ 8 และพระราชินีเจน ซีเมอร์ ก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม
    the-lothians.blogspot/the-discovery-and-opening-of-coffin
    Sources - britishlibrary/opening-the-coffin-of-king-charles-i
    -------------------------------------------------------------------
    คำเตือน : ข้อมูล,ข้อความ หรือบทความที่แปลและเรียบเรียงโดยเพจ The Secret Chamber อนุญาตให้คัดลอก,ทำซ้ำได้ แต่ห้ามแก้ไข,ดัดแปลง หรือตัดชื่อเพจท้ายบทความออก
    (หนังสือ เอกสาร บทความ หรือนิยาย ที่ถูกแปลมาเป็นอีกภาษาหนึ่งถือเป็นงานที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ )
    -------------------------------------------------------------------
    The Secret Chamber
    ภายในโลงศพของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 1 ที่ถูกประหารชีวิต ชาร์ลส์ที่ 1 เป็นชายที่ขี้อาย ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ซึ่งสร้างหายนะให้กับกษัตริย์ หลังจากที่เขาถูกประหารชีวิตในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1649 ร่างของเขาที่ผ่านการทำศพแล้วจะถูกบรรจุลงในโลงและนำไปที่โบสถ์เซนต์เจมส์ การฝังศพของเขาที่วินด์เซอร์จัดขึ้นโดยไม่มีพิธีรีตองใดๆ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1649 การที่ชาร์ลส์ที่ 1 ได้รับการฝังศพ ไม่ต้องพูดถึงการฝังที่พระราชวังวินด์เซอร์ ถือเป็นเรื่องโชคดีอย่างยิ่ง รายงานระบุว่าศีรษะของชาร์ลส์ถูกเย็บกลับเข้ากับร่างของเขาบนโต๊ะใหญ่ในคณบดีที่วินด์เซอร์ นี่คือที่ที่โลงศพถูกวางไว้ชั่วครู่หลังจากมาถึงปราสาทวินด์เซอร์ อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่สนับสนุนการกล่าวอ้างนี้ยังมีน้อย เป็นวันที่หนาวเย็นและมีหิมะตกในเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อโลงศพของชาร์ลส์ถูกหย่อนลงไปในห้องฝังพระศพซึ่งบรรจุร่างของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และพระราชินีเจน ซีเมอร์ หลายปีต่อมา ราชวงศ์ “ลืม” ร่างของชาร์ลส์ไป บางคนคิดว่าชาร์ลส์ที่ 2 พระราชโอรสของพระองค์อาจนำร่างของพระองค์ไปฝังใหม่ที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มก่อสร้างสุสานที่โบสถ์เซนต์จอร์จในปี 1813 คนงานได้บังเอิญเปิดช่องบนผนังห้องเก็บศพที่ฝังพระศพของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และพระนางเจน ซีเมอร์ นอกจากโลงศพของพระเจ้าเฮนรีและพระนางเจนแล้ว ยังมีโลงศพอีกสองโลง โลงศพที่สามถูกคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำ และยังมีโลงศพไม้มะฮอกกานีขนาดเล็กมากที่หุ้มด้วยกำมะหยี่สีแดงเข้มอีกด้วยโลงศพนี้วางอยู่บนผ้าคลุมของพระเจ้าชาร์ลส์ โลงศพขนาดเล็กนี้บรรจุทารกที่เสียชีวิตในครรภ์ของราชินีแอนน์ในสมัยที่พระองค์เป็นเจ้าหญิงแห่งเดนมาร์ก เมื่อเจ้าชายผู้สำเร็จราชการทราบเรื่องการค้นพบนี้ พระองค์จึงทรงอนุมัติให้ตรวจสอบโลงศพ การค้นพบนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 1813 เจ้าชายผู้สำเร็จราชการเสด็จเข้าไปในห้องฝังศพ พร้อมด้วยดยุคแห่งคัมเบอร์แลนด์ เคานต์มุนสเตอร์ คณบดีแห่งวินด์เซอร์ เบนจามิน ชาลส์ สตีเวนสัน และเซอร์เฮนรี่ ฮาลฟอร์ด ผ้ากำมะหยี่สีดำถูกดึงออกเผยให้เห็นโลงศพตะกั่วธรรมดามีพระนามของพระเจ้าชาร์ลส์จารึกไว้ และปี ค.ศ. 1649 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์สวรรคต จากนั้นจึงเปิดฝาโลงและนำผ้าที่ปิดอยู่บนเศียรของกษัตริย์ออก เซอร์ เฮนรี ฮาลฟอร์ดรายงานว่าเขาเห็นใบหน้ารูปไข่เรียวยาวพร้อมเคราแหลม ซึ่งดูคล้ายกับที่อยู่บนเหรียญ รูปปั้นครึ่งตัว และรูปภาพของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 มาก ศีรษะถูกนำออกจากโลงศพเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด มีการสังเกตเห็นว่าศีรษะถูกแยกออกจากร่างด้วยการกระแทกอย่างแรง ซึ่งเมื่อรวมกับจารึกบนโลงศพแล้ว พิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่านี่คือพระบรมศพของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 จริงๆ ส่วนที่เหลือของร่างกายไม่ได้รับการตรวจสอบ และโลงศพถูกบัดกรีไว้ เรื่องราวของเราจะจบลงที่นี่หากไม่มีการเปิดห้องฝังศพบางส่วนอีกครั้งในวันที่ 13 ธันวาคม 1888 และเหตุผลที่น่าสนใจว่าทำไมเหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้น.... ดูเหมือนว่าเมื่อมีการเปิดโลงศพครั้งแรกในปี 1813 แพทย์ประจำราชวงศ์เซอร์ เฮนรี่ ฮาลฟอร์ด ได้นำกระดูกบางส่วนจากร่างของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1ออกมา ซึ่งรวมถึงกระดูกสันหลังส่วนคอที่สี่ซึ่งมีรอยของขวาน ตลอดจนฟันและเคราบางส่วนของเขา ฮาลฟอร์ดอ้างว่าหลังจากปิดโลงศพแล้ว สิ่งของทั้งสามชิ้นนี้ ไม่ได้รวมอยู่ในโลงด้วย ในปี 1888 กระดูกดังกล่าวได้ถูกส่งไปอยู่ในมือของอัลเบิร์ต เจ้าชายแห่งเวลส์ โดยหลานชายของเซอร์เฮนรี ฮาลฟอร์ด เจ้าชายทรงแจ้งให้เจ้าคณะแห่งโบสถ์เซนต์จอร์จทราบว่า พระองค์ได้รับอนุญาตจากพระราชินีวิกตอเรีย พระมารดาแล้วให้คืนโบราณวัตถุเหล่านี้ไว้ที่ห้องเก็บศพ เวลา 18.00 น. ของวันที่ 13 ธันวาคม 1888 เจ้าคณะเดวิดสันได้ควบคุมดูแลการเคลื่อนย้ายแผ่นหินปูพื้นที่มีจารึกเหนือห้องเก็บศพ และแผ่นหินอ่อนสีดำและสีขาว 6 แผ่นออกไป เจ้าชายแห่งเวลส์เสด็จมาถึงหลัง 19.00 น. เล็กน้อย และทรงหย่อนกล่องบรรจุกระดูกลงมา แล้ววางไว้ตรงกลางโลงศพของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 จากนั้นเจ้าชายก็จากไป และห้องเก็บศพก็ถูกปิดทันที การดำเนินการทั้งหมดกระทำไปด้วยความเหมาะสมและสมศักดิ์ศรีสูงสุด อย่างไรก็ตาม สิ่งของอีกชิ้นหนึ่งยังคงอยู่ในคอลเลกชันของราชวงศ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขุดศพครั้งแรกในปี 1813 ซึ่งก็คือสร้อยคอทองคำและเคลือบอีนาเมลอันสวยงาม ซึ่งจอร์จประทานให้กับเจ้าหญิงชาร์ล็อตต์ พระธิดาของพระองค์ ภายในมีเส้นผมอยู่ มีจารึกยืนยันว่านี่คือพระเกศาของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ซึ่งถูกนำออกจากพระเศียรของพระองค์ในการขุดศพเมื่อปี 1813 นับตั้งแต่มีการเปิดห้องเก็บศพครั้งที่สองในปี 1888 พระบรมศพของพระโอรสที่เสียชีวิตในครรภ์ของราชินีแอนน์ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 พระเจ้าเฮนรีที่ 8 และพระราชินีเจน ซีเมอร์ ก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม the-lothians.blogspot/the-discovery-and-opening-of-coffin Sources - britishlibrary/opening-the-coffin-of-king-charles-i ------------------------------------------------------------------- ⚠️ คำเตือน : ข้อมูล,ข้อความ หรือบทความที่แปลและเรียบเรียงโดยเพจ The Secret Chamber อนุญาตให้คัดลอก,ทำซ้ำได้ แต่ห้ามแก้ไข,ดัดแปลง หรือตัดชื่อเพจท้ายบทความออก (หนังสือ เอกสาร บทความ หรือนิยาย ที่ถูกแปลมาเป็นอีกภาษาหนึ่งถือเป็นงานที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ) ------------------------------------------------------------------- The Secret Chamber
    0 Comments 0 Shares 3K Views 0 Reviews
  • เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 พล.ท. นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์" แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีการป่วยของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกล่าวถึงบทบาทของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ในประเด็นนี้

    ประเด็นอาการป่วยของนายทักษิณ: พล.ท. นันทเดช ตั้งข้อสังเกตและข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกนำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยเน้นว่าขาดความโปร่งใสและมีข้อพิรุธหลายประการ เช่น
    ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลทางการแพทย์ที่ชัดเจนจากตำรวจหรือราชทัณฑ์
    ไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และทีม รปภ. เฝ้าในห้องตามระเบียบ
    ไม่มีการแถลงข่าวอาการป่วยจากแพทย์โรงพยาบาลตำรวจและราชทัณฑ์ แม้จะเป็นบุคคลสำคัญระดับ VVIP
    ส.ส. พรรคเพื่อไทยทั้งพรรคไม่มีใครไปเยี่ยม ซึ่งเป็นเรื่องแปลก
    ผลกระทบต่อความเชื่อมั่น: พล.ท. นันทเดช ชี้ว่าเรื่องนี้ไม่มีผลดีต่อนายทักษิณเลย เพราะประชาชนยังคงเชื่อมั่นในคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกว่า 50 คนที่เคยออกมาแสดงความเห็น และยิ่งมีการบิดเบือนข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยและพิรุธมากขึ้นเท่านั้น
    เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 พล.ท. นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์" แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีการป่วยของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกล่าวถึงบทบาทของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ในประเด็นนี้ ประเด็นอาการป่วยของนายทักษิณ: พล.ท. นันทเดช ตั้งข้อสังเกตและข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกนำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยเน้นว่าขาดความโปร่งใสและมีข้อพิรุธหลายประการ เช่น ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลทางการแพทย์ที่ชัดเจนจากตำรวจหรือราชทัณฑ์ ไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และทีม รปภ. เฝ้าในห้องตามระเบียบ ไม่มีการแถลงข่าวอาการป่วยจากแพทย์โรงพยาบาลตำรวจและราชทัณฑ์ แม้จะเป็นบุคคลสำคัญระดับ VVIP ส.ส. พรรคเพื่อไทยทั้งพรรคไม่มีใครไปเยี่ยม ซึ่งเป็นเรื่องแปลก ผลกระทบต่อความเชื่อมั่น: พล.ท. นันทเดช ชี้ว่าเรื่องนี้ไม่มีผลดีต่อนายทักษิณเลย เพราะประชาชนยังคงเชื่อมั่นในคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกว่า 50 คนที่เคยออกมาแสดงความเห็น และยิ่งมีการบิดเบือนข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยและพิรุธมากขึ้นเท่านั้น
    0 Comments 0 Shares 2K Views 0 Reviews
  • มื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาในคดีที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวของอดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

    สรุปคำพิพากษาและรายละเอียดสำคัญ:

    ยกเลิกคำสั่งเดิมของกระทรวงการคลังบางส่วน: ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่ง เพิกถอนคำสั่งของกระทรวงการคลัง ที่ 1341/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ที่สั่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน 35,717 ล้านบาท ในกรณีปล่อยให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการ
    ให้ชดใช้ค่าเสียหายเฉพาะส่วนของการระบายข้าวแบบ G2G: ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนที่เกิดจากการระระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) จำนวน 50% ของมูลค่าความเสียหาย 20,057,723,761 บาท ซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 10,028,861,880 บาท (หนึ่งหมื่นยี่สิบแปดล้านแปดแสนหกหมื่นหนึ่งพันแปดร้อยแปดสิบบาท)
    เหตุผล: ศาลเห็นว่า การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวแบบ G2G เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและก่อให้เกิดความเสียหาย
    คำพิพากษาศาลฎีกาฯ (คดีอาญา): ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2560 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาลับหลังจำคุกนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นเวลา 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว และออกหมายจับนางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งในขณะนั้นไม่ได้เดินทางมาศาล
    ท่าทีของนางสาวยิ่งลักษณ์: หลังคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่ารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม และจำนวนเงินที่ต้องชดใช้เป็นจำนวนมหาศาลที่ยากจะชดใช้หมดตลอดชีวิตที่เหลือ และจะต่อสู้ทางกฎหมายต่อไป
    ความหมายของคดี:

    คดีจำนำข้าวเป็นคดีที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อการเมืองและสังคมไทย โดยมีประเด็นทั้งด้านการบริหารราชการแผ่นดิน การทุจริต และความรับผิดชอบของนักการเมือง
    มื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาในคดีที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวของอดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สรุปคำพิพากษาและรายละเอียดสำคัญ: ยกเลิกคำสั่งเดิมของกระทรวงการคลังบางส่วน: ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่ง เพิกถอนคำสั่งของกระทรวงการคลัง ที่ 1341/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ที่สั่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน 35,717 ล้านบาท ในกรณีปล่อยให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการ ให้ชดใช้ค่าเสียหายเฉพาะส่วนของการระบายข้าวแบบ G2G: ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนที่เกิดจากการระระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) จำนวน 50% ของมูลค่าความเสียหาย 20,057,723,761 บาท ซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 10,028,861,880 บาท (หนึ่งหมื่นยี่สิบแปดล้านแปดแสนหกหมื่นหนึ่งพันแปดร้อยแปดสิบบาท) เหตุผล: ศาลเห็นว่า การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวแบบ G2G เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและก่อให้เกิดความเสียหาย คำพิพากษาศาลฎีกาฯ (คดีอาญา): ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2560 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาลับหลังจำคุกนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นเวลา 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว และออกหมายจับนางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งในขณะนั้นไม่ได้เดินทางมาศาล ท่าทีของนางสาวยิ่งลักษณ์: หลังคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่ารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม และจำนวนเงินที่ต้องชดใช้เป็นจำนวนมหาศาลที่ยากจะชดใช้หมดตลอดชีวิตที่เหลือ และจะต่อสู้ทางกฎหมายต่อไป ความหมายของคดี: คดีจำนำข้าวเป็นคดีที่มีความซับซ้อนและมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อการเมืองและสังคมไทย โดยมีประเด็นทั้งด้านการบริหารราชการแผ่นดิน การทุจริต และความรับผิดชอบของนักการเมือง
    0 Comments 0 Shares 2K Views 0 Reviews

  • "ส.ส.กฤษฎิ์ ประกาศแยกทางพรรคประชาชน เตรียมซบ 'กล้าธรรม' ประชาชนศรีราชาผิดหวัง ขึ้นป้ายต้าน 'งูเห่า'"


    เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 นางสาวกฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ ส.ส.ชลบุรี เขต 6 แถลงข่าวยุติบทบาทกับพรรคประชาชน โดยระบุว่าแนวทางการทำงานไม่ตรงกัน และเตรียมย้ายไปร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม . อย่างไรก็ตาม เธอยืนยันว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. เนื่องจากการลาออกอาจทำให้ขาดคุณสมบัติและสิ้นเปลืองงบประมาณในการจัดเลือกตั้งซ่อม .

    การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชนในพื้นที่ศรีราชา โดยเฉพาะผู้ที่เคยสนับสนุนเธอในนามพรรคประชาชน . มีร้านอาหารแห่งหนึ่งในอำเภอศรีราชาติดป้ายประกาศไม่ต้อนรับเธอ พร้อมระบุว่า "ขายอาหารคน ไม่ได้ขายอาหารงู" .

    ด้านพรรคประชาชนยังไม่ได้ดำเนินการขับเธอออกจากพรรคอย่างเป็นทางการ ทำให้สถานะของเธอยังคงเป็น ส.ส. ของพรรคจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง .


    เจ้าของร้านเปิดใจ ขึ้นป้ายไม่ต้อนรับ สส.งูกฤษฎิ์ ลั่นขายอาหารคน ไม่ขายอาหารงู

    สส.กฤษฎิ์ แถลงข่าว เปิดใจ หลัง แยกทางพรรคประชาชน ซบกล้าธรรม

    สส.กฤษฎิ์ ออกแถลงการณ์ ไม่ลาออก ชี้ทำให้ขาดคุณสมบัติ สิ้นเปลืองงบประมาณ จัดเลือกตั้งซ่อม


    "ส.ส.กฤษฎิ์ ประกาศแยกทางพรรคประชาชน เตรียมซบ 'กล้าธรรม' ประชาชนศรีราชาผิดหวัง ขึ้นป้ายต้าน 'งูเห่า'" เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 นางสาวกฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ ส.ส.ชลบุรี เขต 6 แถลงข่าวยุติบทบาทกับพรรคประชาชน โดยระบุว่าแนวทางการทำงานไม่ตรงกัน และเตรียมย้ายไปร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม . อย่างไรก็ตาม เธอยืนยันว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. เนื่องจากการลาออกอาจทำให้ขาดคุณสมบัติและสิ้นเปลืองงบประมาณในการจัดเลือกตั้งซ่อม . การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชนในพื้นที่ศรีราชา โดยเฉพาะผู้ที่เคยสนับสนุนเธอในนามพรรคประชาชน . มีร้านอาหารแห่งหนึ่งในอำเภอศรีราชาติดป้ายประกาศไม่ต้อนรับเธอ พร้อมระบุว่า "ขายอาหารคน ไม่ได้ขายอาหารงู" . ด้านพรรคประชาชนยังไม่ได้ดำเนินการขับเธอออกจากพรรคอย่างเป็นทางการ ทำให้สถานะของเธอยังคงเป็น ส.ส. ของพรรคจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง . เจ้าของร้านเปิดใจ ขึ้นป้ายไม่ต้อนรับ สส.งูกฤษฎิ์ ลั่นขายอาหารคน ไม่ขายอาหารงู สส.กฤษฎิ์ แถลงข่าว เปิดใจ หลัง แยกทางพรรคประชาชน ซบกล้าธรรม สส.กฤษฎิ์ ออกแถลงการณ์ ไม่ลาออก ชี้ทำให้ขาดคุณสมบัติ สิ้นเปลืองงบประมาณ จัดเลือกตั้งซ่อม
    0 Comments 0 Shares 1K Views 0 Reviews
fornote https://fornote.in.th