• ทหารไทย สุภาพบุรุษ!!
    คุมตัว 18 เชลยศึก ทหารเขมร
    จากเหตุปะทะในพื้นที่ ซำแต
    ยอมจำนน
    ดูแลอย่างดีจัด เสื้อผ้า อาหาร น้ำดื่ม รักษาพยาบาล
    ตามแบบปฏิบัติในทางทหารของสากล ยึดหลักมนุษยธรรมสากล
    พบ เสียชีวิต 2 ราย
    เตรียมส่งคืนกัมพูชา
    พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพภาคที่ 2 ได้รายงานผลการควบคุมตัวทหารกัมพูชา จำนวน 18 นาย สืบเนื่องจากเหตุการณ์ปะทะในพื้นที่ ซำแต อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
    กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังที่ฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธหนักและอาวุธวิถีโค้ง ยิงเข้ามาในเขตพื้นที่ของไทย ฝ่ายไทยจึงได้ใช้ หน่วยทหารม้าเฉพาะกิจเข้าทำการตอบโต้และกวาดล้างที่มั่นของฝ่ายกัมพูชา
    จากการปฏิบัติดังกล่าว พบมีทหารกัมพูชาจำนวนหนึ่ง ยอมจำนนโดยไม่มีท่าทีหรือลักษณะจะคุกคามฝ่ายไทย ทางหน่วย จึงดำเนินการปลดอาวุธและควบคุมตัวตามขั้นตอน โดยยึดถือหลักมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัด มีจำนวน 18 นาย ชั้นยศ ร้อยตรี 1 นาย ,จ่าสิบโท 2 นาย ,สิบเอก 12 นาย ,สิบโท 2 นาย , สิบตรี 1 นาย และในจำนวนนั้นมีผู้บาดเจ็บ 1 นาย คือ สิบเอก มอม ริดที บาดเจ็บ ถูกกระสุนบริเวณสะโพกข้างขวา และ แขนซ้าย ซึ่งภายหลังฝ่ายไทยได้ส่งเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล
    นอกจากนี้ ยังพบผู้เสียชีวิตอยู่ในพื้นที่จำนวน 2 นาย
    ขณะนี้ ทหารกัมพูชาทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุม ณ พื้นที่ปลอดภัยของกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งได้จัดเตรียมการดูแลขั้นพื้นฐานไว้ให้ ทั้ง เสื้อผ้า อาหาร น้ำดื่ม และการรักษาพยาบาล ตามความจำเป็น ดูแลให้เป็นไปตามแบบปฏิบัติในทางทหารของสากล และยึดหลักมนุษยธรรมสากล จากนั้นจะดำเนินการตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป
    ในส่วนของผู้เสียชีวิต ฝ่ายไทยจะดำเนินการส่งคืนร่างของผู้เสียชีวิต ตามหลักปฏิบัติสากลในการปฏิบัติต่อศพในภาวะสงคราม อย่างสมเกียรติต่อไป
    กองทัพบกยังคงยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน หลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และพันธกรณีที่ไทยถือปฏิบัติภายใต้อนุสัญญาเจนีวาที่พึงกระทำต่อทหาร และ ศพของฝ่ายตรงข้ามอย่างเคร่งครัด
    CR.Wassana Nanuam
    ทหารไทย สุภาพบุรุษ!! คุมตัว 18 เชลยศึก ทหารเขมร จากเหตุปะทะในพื้นที่ ซำแต ยอมจำนน ดูแลอย่างดีจัด เสื้อผ้า อาหาร น้ำดื่ม รักษาพยาบาล ตามแบบปฏิบัติในทางทหารของสากล ยึดหลักมนุษยธรรมสากล พบ เสียชีวิต 2 ราย เตรียมส่งคืนกัมพูชา พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพภาคที่ 2 ได้รายงานผลการควบคุมตัวทหารกัมพูชา จำนวน 18 นาย สืบเนื่องจากเหตุการณ์ปะทะในพื้นที่ ซำแต อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังที่ฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธหนักและอาวุธวิถีโค้ง ยิงเข้ามาในเขตพื้นที่ของไทย ฝ่ายไทยจึงได้ใช้ หน่วยทหารม้าเฉพาะกิจเข้าทำการตอบโต้และกวาดล้างที่มั่นของฝ่ายกัมพูชา จากการปฏิบัติดังกล่าว พบมีทหารกัมพูชาจำนวนหนึ่ง ยอมจำนนโดยไม่มีท่าทีหรือลักษณะจะคุกคามฝ่ายไทย ทางหน่วย จึงดำเนินการปลดอาวุธและควบคุมตัวตามขั้นตอน โดยยึดถือหลักมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัด มีจำนวน 18 นาย ชั้นยศ ร้อยตรี 1 นาย ,จ่าสิบโท 2 นาย ,สิบเอก 12 นาย ,สิบโท 2 นาย , สิบตรี 1 นาย และในจำนวนนั้นมีผู้บาดเจ็บ 1 นาย คือ สิบเอก มอม ริดที บาดเจ็บ ถูกกระสุนบริเวณสะโพกข้างขวา และ แขนซ้าย ซึ่งภายหลังฝ่ายไทยได้ส่งเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล นอกจากนี้ ยังพบผู้เสียชีวิตอยู่ในพื้นที่จำนวน 2 นาย ขณะนี้ ทหารกัมพูชาทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุม ณ พื้นที่ปลอดภัยของกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งได้จัดเตรียมการดูแลขั้นพื้นฐานไว้ให้ ทั้ง เสื้อผ้า อาหาร น้ำดื่ม และการรักษาพยาบาล ตามความจำเป็น ดูแลให้เป็นไปตามแบบปฏิบัติในทางทหารของสากล และยึดหลักมนุษยธรรมสากล จากนั้นจะดำเนินการตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป ในส่วนของผู้เสียชีวิต ฝ่ายไทยจะดำเนินการส่งคืนร่างของผู้เสียชีวิต ตามหลักปฏิบัติสากลในการปฏิบัติต่อศพในภาวะสงคราม อย่างสมเกียรติต่อไป กองทัพบกยังคงยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน หลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และพันธกรณีที่ไทยถือปฏิบัติภายใต้อนุสัญญาเจนีวาที่พึงกระทำต่อทหาร และ ศพของฝ่ายตรงข้ามอย่างเคร่งครัด CR.Wassana Nanuam
    0 Comments 0 Shares 1K Views 0 Reviews
  • ย้อนตำนาน 50 ปี เขมรแดงบุกยึดพนมเปญ จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชา ... #แผ่นดินต้องคำสาป
    เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๑๘ เมื่อกองกำลังเขมรแดง (Khmer Rouge) สามารถเข้าบุกยึดเมืองหลวงของประเทศ และควบคุมการปกครองของนายพลลอน นอล (Lon Nol) ซึ่งเป็นเผด็จการทหาร โดยมีรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ดีใจของประชาชนที่ออกมาต้อนรับขับสู้ตามริมทาง มอบดอกไม้ต่างกำลังใจให้ผู้พิชิตเหล่านั้น โดยหารู้ไม่ว่า ในอีกไม่กี่เพลา ชีวิตของพวกเขากำลังเดินทางไปสู่เงื้อมมือของพญามัจจุราช
    เขมรแดง ซึ่งเป็นกองกำลังที่มีหัวขบวนหลักในการขับเคลื่อนโดยอดีตกลุ่มนักศึกษา "ปัญญาชนปารีส" อย่างพล พต (Pol Pot) เอียง ซารี เขียว สัมพัน ซอน เซน ฯลฯ ได้ยืนหยัดและยึดมั่นในอุดมการณ์ลัทธิซ้าย (คอมมิวนิสต์) อย่างสุดโต่งในการปฏิวัติกัมพูชา พวกเขามีความเชื่อว่า สังคมจะบังเกิดความจำเริญได้ ต้องมีความยุติธรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีความเท่าเทียม ความเท่าเทียมที่ว่านี้ รวมไปถึงความเท่าเทียมในความเป็นอยู่ ความเท่าเทียมทางรายได้ ความเท่าเทียมทางการศึกษา เป็นต้นว่า ทุกคนต้องทำงาน มีอาชีพเหมือนกัน คือ ใช้แรงงาน เป็น labour ตามทุ่งนาต่างๆ เพื่อป้อนผลผลิตเข้าสู่ "องค์การ (Angkar) — ชื่อเรียกส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา" อยู่แบบเดียวกัน อาศัยร่วมกันในค่ายที่เรียกว่า "คอมมูน (Commune)" ทั้งนี้ ยังไม่นับไปถึงความเท่าเทียมในเรื่องส่วนบุคคลอย่าง การแต่งกายที่ต้องเหมือนกัน คือ สวมชุดสีดำ โพกผ้าขาวม้า ห้ามมีทรัพย์สินส่วนตัว แม้แต่สบู่ แปรงสีฟัน ข้าวของจำเป็นในการอุปโภคบริโภค องค์การก็จะเป็นคนจัดให้ ไม่วายกระทั่ง "เลือกคู่ครอง" ให้ โดยอ้าง "เหตุผลของรัฐ (raison d'état)"
    ในกรุงพนมเปญ เขมรแดงเกณฑ์ผู้คนชาวกรุงนับล้านอพยพออกจากเมือง โดยโกหกว่า กองทัพสหรัฐฯ เตรียมการทิ้งระเบิด ชาวกรุงเหล่านั้น เป็นชนชั้นกลาง ปัญญาชน เศรษฐี ซึ่งถือเป็น "ชนชั้นนำ (elite)" ที่เขมรแดงตราหน้าว่าเป็น "ศัตรูของรัฐ" ในเวลาต่อมา ถูกบังคับให้ต้องเดินเป็นระยะทางหลายกิโล กระจายกันไปตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ตามแต่คำสั่งขององค์การ พวกเขาถูกนำตัวไปที่ค่าย (Commune) ที่ตั้งอยู่ตามทุ่งนาโล่งๆ หลายสิบแห่ง ที่ขนาดใหญ่และมีความสำคัญ เช่น ค่ายเสียมเรียบ พระตะบอง กันดาล เป็นต้น
    ตลอดระยะเวลาเกือบ ๔ ปีที่เขมรแดงขึ้นปกครองประเทศ กรุงพนมเปญกลายเป็นเมืองร้าง ไฟฟ้า ประปาไม่มีใช้ ยกเลิกโรงเรียน ธนาคาร โรงพยาบาล สาธารณูปโภคทุกอย่างถูกทำลาย เน้นการโดดเดี่ยวตัวเองเพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบยังชีพตามอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ คนทุกคนมีอาชีพเป็นแรงงาน ต้องทำงาน "เพื่อส่วนรวม" โดยไม่คิดถึงตัวเอง ๑๒ ชั่วโมง/วัน ตามทุ่งนา และจะได้รับอาหารจากองค์การเป็น "ข้าวเปล่าต้มสุก" ๑ กระป๋อง วันละ ๑ มื้อ ที่ถือได้ว่า "ดีแล้ว" เมื่อเทียบกับในคุก S-21 (ตวลสเลง) ที่ใช้คุมขัง "ศัตรูของรัฐ" ซึ่งได้รับอาหารเพียงข้าวต้ม ๓ ช้อน/วัน
    ด้วยการกดขี่ ใช้แรงงานอย่างไร้มนุษยธรรม ประกอบกับภาวะอาหารขาดแคลน อดอยาก มีผู้คนต้องล้มตายจากการขาดสารอาหาร การเจ็บป่วยที่ไม่มีแม้แต่ยารักษา เพราะแพทย์ถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น ในฐานะ "ปัญญาชน" ซึ่งเป็นศัตรูของรัฐ คนป่วยต้องพึ่งพาสมุนไพร ใบไม้ในป่าพอประทัง และยังต้องทำงานเฉกเช่นเดียวกับคนปกติ การอู้งานอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของข้อหา "ทรยศต่อองค์การ" ซึ่งแน่นอนว่าบทลงโทษของมันคือ "ความตาย"
    "ความตาย" กลายเป็น "มรณานุสสติ" ที่คนเขมรหวาดสะพรึงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ปัญญาชน คนต่างชาติ แม้แต่ "คนใส่แว่น" จะถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด บ้างก็ถูกส่งไปทรมานในคุกพิเศษ บ้างก็ถูกฆ่ารวมกับ "พวกอู้งาน" กลางทุ่งนา จึงเป็นที่มาของคำเรียกว่า "ทุ่งสังหาร (killing field)"
    ท้ายที่สุด ภายใต้การนำของอดีตสมุนเขมรแดง ซึ่งรวมไปถึงนายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบันอย่าง "ฮุน เซ็น" ได้ร่วมมือกับกองทัพเวียดนาม ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์คนละสายกับเขมรแดง (เวียดนามได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต ส่วนเขมรแดงได้รับการสนับสนุนจากจีน) เข้าบุกโจมตีกองทัพเขมรแดง เข้าปลดแอกประชาชนกัมพูชา จนได้รับชัยชนะ ควบคุมพนมเปญ และเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ในปี ๒๕๒๒ ก่อนที่ความสูญเสียจะทวีคูณขึ้นเกิน ๓ ล้านคน หรือประมาณ ๑ ใน ๓ ของประชากรเขมรทั้งประเทศ
    ขอบพระคุณบทความจาก คุณ @Kanarop Chaiyasit
    ย้อนตำนาน 50 ปี เขมรแดงบุกยึดพนมเปญ จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชา ... #แผ่นดินต้องคำสาป เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๑๘ เมื่อกองกำลังเขมรแดง (Khmer Rouge) สามารถเข้าบุกยึดเมืองหลวงของประเทศ และควบคุมการปกครองของนายพลลอน นอล (Lon Nol) ซึ่งเป็นเผด็จการทหาร โดยมีรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ดีใจของประชาชนที่ออกมาต้อนรับขับสู้ตามริมทาง มอบดอกไม้ต่างกำลังใจให้ผู้พิชิตเหล่านั้น โดยหารู้ไม่ว่า ในอีกไม่กี่เพลา ชีวิตของพวกเขากำลังเดินทางไปสู่เงื้อมมือของพญามัจจุราช เขมรแดง ซึ่งเป็นกองกำลังที่มีหัวขบวนหลักในการขับเคลื่อนโดยอดีตกลุ่มนักศึกษา "ปัญญาชนปารีส" อย่างพล พต (Pol Pot) เอียง ซารี เขียว สัมพัน ซอน เซน ฯลฯ ได้ยืนหยัดและยึดมั่นในอุดมการณ์ลัทธิซ้าย (คอมมิวนิสต์) อย่างสุดโต่งในการปฏิวัติกัมพูชา พวกเขามีความเชื่อว่า สังคมจะบังเกิดความจำเริญได้ ต้องมีความยุติธรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีความเท่าเทียม ความเท่าเทียมที่ว่านี้ รวมไปถึงความเท่าเทียมในความเป็นอยู่ ความเท่าเทียมทางรายได้ ความเท่าเทียมทางการศึกษา เป็นต้นว่า ทุกคนต้องทำงาน มีอาชีพเหมือนกัน คือ ใช้แรงงาน เป็น labour ตามทุ่งนาต่างๆ เพื่อป้อนผลผลิตเข้าสู่ "องค์การ (Angkar) — ชื่อเรียกส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา" อยู่แบบเดียวกัน อาศัยร่วมกันในค่ายที่เรียกว่า "คอมมูน (Commune)" ทั้งนี้ ยังไม่นับไปถึงความเท่าเทียมในเรื่องส่วนบุคคลอย่าง การแต่งกายที่ต้องเหมือนกัน คือ สวมชุดสีดำ โพกผ้าขาวม้า ห้ามมีทรัพย์สินส่วนตัว แม้แต่สบู่ แปรงสีฟัน ข้าวของจำเป็นในการอุปโภคบริโภค องค์การก็จะเป็นคนจัดให้ ไม่วายกระทั่ง "เลือกคู่ครอง" ให้ โดยอ้าง "เหตุผลของรัฐ (raison d'état)" ในกรุงพนมเปญ เขมรแดงเกณฑ์ผู้คนชาวกรุงนับล้านอพยพออกจากเมือง โดยโกหกว่า กองทัพสหรัฐฯ เตรียมการทิ้งระเบิด ชาวกรุงเหล่านั้น เป็นชนชั้นกลาง ปัญญาชน เศรษฐี ซึ่งถือเป็น "ชนชั้นนำ (elite)" ที่เขมรแดงตราหน้าว่าเป็น "ศัตรูของรัฐ" ในเวลาต่อมา ถูกบังคับให้ต้องเดินเป็นระยะทางหลายกิโล กระจายกันไปตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ตามแต่คำสั่งขององค์การ พวกเขาถูกนำตัวไปที่ค่าย (Commune) ที่ตั้งอยู่ตามทุ่งนาโล่งๆ หลายสิบแห่ง ที่ขนาดใหญ่และมีความสำคัญ เช่น ค่ายเสียมเรียบ พระตะบอง กันดาล เป็นต้น ตลอดระยะเวลาเกือบ ๔ ปีที่เขมรแดงขึ้นปกครองประเทศ กรุงพนมเปญกลายเป็นเมืองร้าง ไฟฟ้า ประปาไม่มีใช้ ยกเลิกโรงเรียน ธนาคาร โรงพยาบาล สาธารณูปโภคทุกอย่างถูกทำลาย เน้นการโดดเดี่ยวตัวเองเพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบยังชีพตามอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ คนทุกคนมีอาชีพเป็นแรงงาน ต้องทำงาน "เพื่อส่วนรวม" โดยไม่คิดถึงตัวเอง ๑๒ ชั่วโมง/วัน ตามทุ่งนา และจะได้รับอาหารจากองค์การเป็น "ข้าวเปล่าต้มสุก" ๑ กระป๋อง วันละ ๑ มื้อ ที่ถือได้ว่า "ดีแล้ว" เมื่อเทียบกับในคุก S-21 (ตวลสเลง) ที่ใช้คุมขัง "ศัตรูของรัฐ" ซึ่งได้รับอาหารเพียงข้าวต้ม ๓ ช้อน/วัน ด้วยการกดขี่ ใช้แรงงานอย่างไร้มนุษยธรรม ประกอบกับภาวะอาหารขาดแคลน อดอยาก มีผู้คนต้องล้มตายจากการขาดสารอาหาร การเจ็บป่วยที่ไม่มีแม้แต่ยารักษา เพราะแพทย์ถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น ในฐานะ "ปัญญาชน" ซึ่งเป็นศัตรูของรัฐ คนป่วยต้องพึ่งพาสมุนไพร ใบไม้ในป่าพอประทัง และยังต้องทำงานเฉกเช่นเดียวกับคนปกติ การอู้งานอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของข้อหา "ทรยศต่อองค์การ" ซึ่งแน่นอนว่าบทลงโทษของมันคือ "ความตาย" "ความตาย" กลายเป็น "มรณานุสสติ" ที่คนเขมรหวาดสะพรึงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ปัญญาชน คนต่างชาติ แม้แต่ "คนใส่แว่น" จะถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด บ้างก็ถูกส่งไปทรมานในคุกพิเศษ บ้างก็ถูกฆ่ารวมกับ "พวกอู้งาน" กลางทุ่งนา จึงเป็นที่มาของคำเรียกว่า "ทุ่งสังหาร (killing field)" ท้ายที่สุด ภายใต้การนำของอดีตสมุนเขมรแดง ซึ่งรวมไปถึงนายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบันอย่าง "ฮุน เซ็น" ได้ร่วมมือกับกองทัพเวียดนาม ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์คนละสายกับเขมรแดง (เวียดนามได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต ส่วนเขมรแดงได้รับการสนับสนุนจากจีน) เข้าบุกโจมตีกองทัพเขมรแดง เข้าปลดแอกประชาชนกัมพูชา จนได้รับชัยชนะ ควบคุมพนมเปญ และเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ในปี ๒๕๒๒ ก่อนที่ความสูญเสียจะทวีคูณขึ้นเกิน ๓ ล้านคน หรือประมาณ ๑ ใน ๓ ของประชากรเขมรทั้งประเทศ ขอบพระคุณบทความจาก คุณ @Kanarop Chaiyasit
    0 Comments 0 Shares 1K Views 0 Reviews
  • ส่งศพทหารเขมรกลับบ้าน...เราห่อให้อย่างดี อย่างสมศักดิ์ศรีและมีเกียรติ เพราะคุณตายในหน้าที่
    ส่งศพทหารเขมรกลับบ้าน...เราห่อให้อย่างดี อย่างสมศักดิ์ศรีและมีเกียรติ เพราะคุณตายในหน้าที่
    0 Comments 0 Shares 528 Views 0 Reviews
  • ข่าวชายแดนตอนนี้ตึงเครียดสุดๆ! กัมพูชาเขา 'เรียกไพ่ใบสุดท้าย' งัดเอาอาวุธหนักอย่าง จรวด PHL03 ที่ยิงไกลถึง 120 กม. มาขู่เราเต็มที่เลยนะ
    ที่น่าตกใจคือตอนนี้มีคำสั่ง อพยพด่วนจาก มทบ.25 แล้วด้วย เพราะเหมือนเป็นเป้าโจมตีของทหารเขมรนั่นเอง ไม่ใช่แค่นั้นนะ! กองทัพบกไทยเราออกมาบอกว่า กัมพูชาเขายังไม่ยอมหยุดยิงเลย แถมยังเสริมอาวุธหนักอย่างจรวด PHL03, RM70, BM21 เข้ามาอีก ที่เลวร้ายคือเขายิงเข้าใส่พื้นที่พลเรือนของเราด้วย! ทั้งโรงพยาบาลบ้านชำเม้ง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ก็โดนยิงไปแล้ว!
    สถานการณ์ตอนนี้คือ กัมพูชาเขา เปิดแนวรบยาวถึง 800 กม. ตลอดแนวชายแดน ตั้งแต่ช่องบกยัน จ.ตราดเลยนะ! ทำให้จันทบุรีกับตราดต้องประกาศภาวะฉุกเฉินทันทีเลย ทางไทยเราก็ไม่ยอมอยู่แล้ว โฆษกกองทัพบกยืนยันว่า จะสู้เต็มที่เพื่อตอบโต้ผู้รุกรานและปกป้องประชาชน รัฐบาลไทยก็ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าเน้นสันติภาพ แต่การตอบโต้ของเราจะ มุ่งเป้าไปที่ฐานยิ่งจรวดของกัมพูชา ที่โจมตีพลเรือนเท่านั้น

    Cr.วาสนา รักเมืองไทย
    ข่าวชายแดนตอนนี้ตึงเครียดสุดๆ! กัมพูชาเขา 'เรียกไพ่ใบสุดท้าย' งัดเอาอาวุธหนักอย่าง จรวด PHL03 ที่ยิงไกลถึง 120 กม. มาขู่เราเต็มที่เลยนะ ที่น่าตกใจคือตอนนี้มีคำสั่ง อพยพด่วนจาก มทบ.25 แล้วด้วย เพราะเหมือนเป็นเป้าโจมตีของทหารเขมรนั่นเอง ไม่ใช่แค่นั้นนะ! กองทัพบกไทยเราออกมาบอกว่า กัมพูชาเขายังไม่ยอมหยุดยิงเลย แถมยังเสริมอาวุธหนักอย่างจรวด PHL03, RM70, BM21 เข้ามาอีก ที่เลวร้ายคือเขายิงเข้าใส่พื้นที่พลเรือนของเราด้วย! ทั้งโรงพยาบาลบ้านชำเม้ง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ก็โดนยิงไปแล้ว! สถานการณ์ตอนนี้คือ กัมพูชาเขา เปิดแนวรบยาวถึง 800 กม. ตลอดแนวชายแดน ตั้งแต่ช่องบกยัน จ.ตราดเลยนะ! ทำให้จันทบุรีกับตราดต้องประกาศภาวะฉุกเฉินทันทีเลย ทางไทยเราก็ไม่ยอมอยู่แล้ว โฆษกกองทัพบกยืนยันว่า จะสู้เต็มที่เพื่อตอบโต้ผู้รุกรานและปกป้องประชาชน รัฐบาลไทยก็ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าเน้นสันติภาพ แต่การตอบโต้ของเราจะ มุ่งเป้าไปที่ฐานยิ่งจรวดของกัมพูชา ที่โจมตีพลเรือนเท่านั้น Cr.วาสนา รักเมืองไทย
    0 Comments 0 Shares 1K Views 0 Reviews
  • ทัพฟ้า ส่ง เครื่องบิน
    F16 บิน BAI Battlefield Air Interdiction ขัดขวางทางอากาศในพื้นที่ยุทธบริเวณ 2 ระลอก
    “ภูมะเขือ“และหลังแนวเขาพระวิหาร“ ศรีสะเกษ
    เพิ่อตัดกำลัง ในการยิงปืนใหญ่-จรวดBM21 ยิงใส่ประชาชนไทย
    ก่อนบิน กลับฐานปลอดภัย ด้วยความระมัดระวัง
    แม้ กัมพูชา เอา จรวดต่อสู้อากาศยาน จ้องโจมตี
    .
    แม้ ทหารกัมพูชา จะมีการนำ จรวดต่อสู้อากาศยาน ที่ได้รับจากจีน มาใช้ในสนามรบ แต่ มีรายงานว่า ในวันนี้ ทอ. ได้ส่ง เครื่องบิน F16 จำนวน 4 เครื่อง บินปฏิบัติการ BAI Battlefield Air Interdiction ปฏิบัติการขัดขวางทางอากาศในพื้นที่ยุทธบริเวณ จำนวน 2 ระลอก ในพื้นที่ แนวรบพระวิหาร และ ภูมะเขือ ในพื้นที่กันทรลักษ์ ศรีสะเกษ เพื่อตัดกำลังในการยิงปืนใหญ่ และจรวดBM21 ทำร้ายประชาชนคนไทย
    ผลการปฏิบัติตรงเป้าหมาย และบินกลับฐานปลอดภัย โดยเป็นการปฏิบัติด้วยความระมัดระวังการต่อจากการต่อต้านจากภาคพื้น โดยฝ่ายกัมพูชา
    ทั้งนี้ ปฏิบัติการขัดขวางทางอากาศในพื้นที่ยุทธบริเวณ หรือ BAI เป็นแนวคิดหลักใน การปฏิบัติการทางอากาศ (Air Operations) ตาม หลักนิยมทางอากาศ
    โดยการปฏิบัติ BAI (Battlefield Air Interdiction) – การขัดขวางทางอากาศในพื้นที่ยุทธบริเวณ ที่เป็นการโจมตีเป้าหมายของข้าศึกที่อยู่ นอกระยะการปะทะของกำลังภาคพื้นของตนเอง หรือ เกินระยะยิงปืนใหญ่ แต่ ยังอยู่ในเขตยุทธบริเวณ ทั้งนี้เพื่อ ชะลอ ขัดขวาง หรือทำลายขีดความสามารถของข้าศึกก่อนที่จะเข้าสู่สมรภูมิ
    : แฟ้มภาพ
    #ภูมะเขือ
    #CambodiaOpenedFire
    #แนวรบพระวิหาร
    Wassana Nanuam
    ทัพฟ้า ส่ง เครื่องบิน F16 บิน BAI Battlefield Air Interdiction ขัดขวางทางอากาศในพื้นที่ยุทธบริเวณ 2 ระลอก “ภูมะเขือ“และหลังแนวเขาพระวิหาร“ ศรีสะเกษ เพิ่อตัดกำลัง ในการยิงปืนใหญ่-จรวดBM21 ยิงใส่ประชาชนไทย ก่อนบิน กลับฐานปลอดภัย ด้วยความระมัดระวัง แม้ กัมพูชา เอา จรวดต่อสู้อากาศยาน จ้องโจมตี . แม้ ทหารกัมพูชา จะมีการนำ จรวดต่อสู้อากาศยาน ที่ได้รับจากจีน มาใช้ในสนามรบ แต่ มีรายงานว่า ในวันนี้ ทอ. ได้ส่ง เครื่องบิน F16 จำนวน 4 เครื่อง บินปฏิบัติการ BAI Battlefield Air Interdiction ปฏิบัติการขัดขวางทางอากาศในพื้นที่ยุทธบริเวณ จำนวน 2 ระลอก ในพื้นที่ แนวรบพระวิหาร และ ภูมะเขือ ในพื้นที่กันทรลักษ์ ศรีสะเกษ เพื่อตัดกำลังในการยิงปืนใหญ่ และจรวดBM21 ทำร้ายประชาชนคนไทย ผลการปฏิบัติตรงเป้าหมาย และบินกลับฐานปลอดภัย โดยเป็นการปฏิบัติด้วยความระมัดระวังการต่อจากการต่อต้านจากภาคพื้น โดยฝ่ายกัมพูชา ทั้งนี้ ปฏิบัติการขัดขวางทางอากาศในพื้นที่ยุทธบริเวณ หรือ BAI เป็นแนวคิดหลักใน การปฏิบัติการทางอากาศ (Air Operations) ตาม หลักนิยมทางอากาศ โดยการปฏิบัติ BAI (Battlefield Air Interdiction) – การขัดขวางทางอากาศในพื้นที่ยุทธบริเวณ ที่เป็นการโจมตีเป้าหมายของข้าศึกที่อยู่ นอกระยะการปะทะของกำลังภาคพื้นของตนเอง หรือ เกินระยะยิงปืนใหญ่ แต่ ยังอยู่ในเขตยุทธบริเวณ ทั้งนี้เพื่อ ชะลอ ขัดขวาง หรือทำลายขีดความสามารถของข้าศึกก่อนที่จะเข้าสู่สมรภูมิ : แฟ้มภาพ #ภูมะเขือ #CambodiaOpenedFire #แนวรบพระวิหาร Wassana Nanuam
    0 Comments 0 Shares 1K Views 0 Reviews
  • ทอ. ส่ง F-16 4 เครื่อง ปฏิบัติการ BAI Battlefield Air Interdiction ปฏิบัติการในพื้นที่ยุทธบริเวณ จำนวน 2 ระลอก ในพื้นที่ แนวรบพระวิหาร และ ภูมะเขือ ในพื้นที่กันทรลักษ์ ศรีสะเกษ ตัดกำลังในการยิงปืนใหญ่ และ จรวด BM21
    ของกัมพูชา
    ทอ. ส่ง F-16 4 เครื่อง ปฏิบัติการ BAI Battlefield Air Interdiction ปฏิบัติการในพื้นที่ยุทธบริเวณ จำนวน 2 ระลอก ในพื้นที่ แนวรบพระวิหาร และ ภูมะเขือ ในพื้นที่กันทรลักษ์ ศรีสะเกษ ตัดกำลังในการยิงปืนใหญ่ และ จรวด BM21 ของกัมพูชา
    0 Comments 0 Shares 708 Views 0 Reviews
  • กัมพูชายิงปืนใหญ่ไม่พัก กระสุนปืนใหญ่ตกกลางเมือง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ บ้านประชาชนพังเละ ใกล้คับค่าย ตชด.224 และ ทหารพราน 23 ห่างจากจุดปั๊มน้ำมันที่โดนก่อนหน้าไม่ถึง 1 กม.
    กัมพูชายิงปืนใหญ่ไม่พัก กระสุนปืนใหญ่ตกกลางเมือง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ บ้านประชาชนพังเละ ใกล้คับค่าย ตชด.224 และ ทหารพราน 23 ห่างจากจุดปั๊มน้ำมันที่โดนก่อนหน้าไม่ถึง 1 กม.
    0 Comments 0 Shares 233 Views 0 Reviews
  • เยี่ยมมาก
    รายงานผลสถานการณ์ชายแดน ณ เวลา 15.00 น. วันที่ 24 ก.ค. 68
    ช่องบก (อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี)
    – ทั้งสองฝ่ายตรึงกำลัง ใช้อาวุธยิงสนับสนุนตอบโต้กันตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
    ช่องอานม้า (อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี)
    – หลังจาก F-16 ของไทยทิ้งระเบิดโจมตีตลาดช่องอานม้า ซึ่งเป็นที่ตั้งกำลังของฝ่ายกัมพูชา ขณะนี้มีการระดมยิงเพิ่มเติมเพื่อกวาดล้างเป้าหมายให้หมดสิ้น
    พื้นที่ซำแต (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ)
    – ใช้ชุดรบ ร.-ถ. VT-4 จากกองพลสนับสนุนเข้าสู่การรบ เพื่อยึดพื้นที่ และเตรียมปฏิบัติการโจมตีจุดตรวจการณ์ “ภูผี” ตรงข้ามปราสาทโดนตวล โดยมี F-16 สนับสนุนทางอากาศ
    ช่องตาเฒ่า (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ)
    – ฝ่ายตรงข้ามเสริมกำลังบริเวณจุดตรวจการณ์เขาสัตตาโสม แต่ถูกฝ่ายไทยยิงทำลายรถถังแล้ว 2 คัน
    เขาพระวิหาร – วัดแก้วฯ (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ)
    – ฝ่ายไทยใช้ปืนใหญ่ระดมยิง เตรียมส่งกำลังทหารราบเข้ายึดพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการเข้ายึดภูมะเขือต่อไป (อยู่ระหว่างการยิงเตรียม)
    ภูมะเขือ (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ)
    – อยู่ระหว่างการยิงเตรียมเป้า ล่าสุดสามารถทำลายระบบกระเช้าขนส่งกำลังของฝ่ายตรงข้ามได้บางส่วน
    ช่องจอม (อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์)
    – ทั้งสองฝ่ายใช้อาวุธสนับสนุนยิงโต้ตอบกันเป็นระยะ
    ปราสาทตาเมือนธม (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์)
    – ฝ่ายไทยวางกำลังตรึงแนว ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามเข้าตีอย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายไทยเตรียมใช้ F-16 เข้าตอบโต้ในลำดับถัดไป

    Cr. ปราชญ์ สามสี
    #กัมพูชายิงก่อน
    #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    #CambodiaOpenedFire
    เยี่ยมมาก รายงานผลสถานการณ์ชายแดน ณ เวลา 15.00 น. วันที่ 24 ก.ค. 68 📍 ช่องบก (อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี) – ทั้งสองฝ่ายตรึงกำลัง ใช้อาวุธยิงสนับสนุนตอบโต้กันตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง 📍 ช่องอานม้า (อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี) – หลังจาก F-16 ของไทยทิ้งระเบิดโจมตีตลาดช่องอานม้า ซึ่งเป็นที่ตั้งกำลังของฝ่ายกัมพูชา ขณะนี้มีการระดมยิงเพิ่มเติมเพื่อกวาดล้างเป้าหมายให้หมดสิ้น 📍 พื้นที่ซำแต (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ) – ใช้ชุดรบ ร.-ถ. VT-4 จากกองพลสนับสนุนเข้าสู่การรบ เพื่อยึดพื้นที่ และเตรียมปฏิบัติการโจมตีจุดตรวจการณ์ “ภูผี” ตรงข้ามปราสาทโดนตวล โดยมี F-16 สนับสนุนทางอากาศ 📍 ช่องตาเฒ่า (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ) – ฝ่ายตรงข้ามเสริมกำลังบริเวณจุดตรวจการณ์เขาสัตตาโสม แต่ถูกฝ่ายไทยยิงทำลายรถถังแล้ว 2 คัน 📍 เขาพระวิหาร – วัดแก้วฯ (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ) – ฝ่ายไทยใช้ปืนใหญ่ระดมยิง เตรียมส่งกำลังทหารราบเข้ายึดพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการเข้ายึดภูมะเขือต่อไป (อยู่ระหว่างการยิงเตรียม) 📍 ภูมะเขือ (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ) – อยู่ระหว่างการยิงเตรียมเป้า ล่าสุดสามารถทำลายระบบกระเช้าขนส่งกำลังของฝ่ายตรงข้ามได้บางส่วน 📍 ช่องจอม (อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์) – ทั้งสองฝ่ายใช้อาวุธสนับสนุนยิงโต้ตอบกันเป็นระยะ 📍 ปราสาทตาเมือนธม (อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์) – ฝ่ายไทยวางกำลังตรึงแนว ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามเข้าตีอย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายไทยเตรียมใช้ F-16 เข้าตอบโต้ในลำดับถัดไป Cr. ปราชญ์ สามสี #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 Comments 0 Shares 1K Views 0 Reviews
  • "หน้าเบา แต่เป๊ะเวอร์! แป้งศรีจันทร์ตัวนี้บางเบาแต่คุมมันดีเกินคาด
    ใช้แล้วผิวเนียน ไม่ดรอประหว่างวัน
    พกตลับเดียวจบ ล็อกลุคใสๆ เหมือนไม่แต่ง แต่เป๊ะทั้งวัน
    ของหมดไวมาก รีบกดก่อนของหมด
    https://areemart.com/product/aucqh

    #ไม่พูดเยอะแต่รักมาก #แป้งศรีจันทร์ #Areemart
    "หน้าเบา แต่เป๊ะเวอร์! ✨ แป้งศรีจันทร์ตัวนี้บางเบาแต่คุมมันดีเกินคาด ใช้แล้วผิวเนียน ไม่ดรอประหว่างวัน ✨ พกตลับเดียวจบ ล็อกลุคใสๆ เหมือนไม่แต่ง แต่เป๊ะทั้งวัน ของหมดไวมาก รีบกดก่อนของหมด 👇 https://areemart.com/product/aucqh #ไม่พูดเยอะแต่รักมาก #แป้งศรีจันทร์ #Areemart
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 2K Views 0 Reviews
  • หน้าเบา แต่เป๊ะเวอร์! แป้งศรีจันทร์ตัวนี้ บางเบาแต่คุมมันดีเกินคาด ใช้แล้วผิวเนียน ไม่ดรอประหว่างวัน พกตลับเดียวจบ ล็อกลุคใสๆเหมือนไม่แต่ง แต่เป๊ะทั้งวัน ไม่พูดเยอะแต่รักมากกก รีบกดก่อนของหมด https://areemart.com/product/aucqh #ศรีจันทร์ #แป้งศรีจันทร์ #Areemart
    😍 หน้าเบา แต่เป๊ะเวอร์! แป้งศรีจันทร์ตัวนี้ บางเบาแต่คุมมันดีเกินคาด ใช้แล้วผิวเนียน ไม่ดรอประหว่างวัน พกตลับเดียวจบ ล็อกลุคใสๆเหมือนไม่แต่ง แต่เป๊ะทั้งวัน ไม่พูดเยอะแต่รักมากกก รีบกดก่อนของหมด https://areemart.com/product/aucqh #ศรีจันทร์ #แป้งศรีจันทร์ #Areemart
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 4K Views 0 Reviews
  • #เขาพระวิหาร
    ทั้ง2ท่านสร้างคณูปการแก่กัมพูชา จนได้รับเหรียญอิศริยยศ
    พวกเราคนไทย ควรร่วมภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
    #เขาพระวิหาร ทั้ง2ท่านสร้างคณูปการแก่กัมพูชา จนได้รับเหรียญอิศริยยศ พวกเราคนไทย ควรร่วมภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
    0 Comments 0 Shares 2K Views 0 Reviews
  • ภายในโลงศพของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 1 ที่ถูกประหารชีวิต
    ชาร์ลส์ที่ 1 เป็นชายที่ขี้อาย ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ซึ่งสร้างหายนะให้กับกษัตริย์
    หลังจากที่เขาถูกประหารชีวิตในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1649 ร่างของเขาที่ผ่านการทำศพแล้วจะถูกบรรจุลงในโลงและนำไปที่โบสถ์เซนต์เจมส์ การฝังศพของเขาที่วินด์เซอร์จัดขึ้นโดยไม่มีพิธีรีตองใดๆ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1649 การที่ชาร์ลส์ที่ 1 ได้รับการฝังศพ ไม่ต้องพูดถึงการฝังที่พระราชวังวินด์เซอร์ ถือเป็นเรื่องโชคดีอย่างยิ่ง
    รายงานระบุว่าศีรษะของชาร์ลส์ถูกเย็บกลับเข้ากับร่างของเขาบนโต๊ะใหญ่ในคณบดีที่วินด์เซอร์ นี่คือที่ที่โลงศพถูกวางไว้ชั่วครู่หลังจากมาถึงปราสาทวินด์เซอร์ อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่สนับสนุนการกล่าวอ้างนี้ยังมีน้อย
    เป็นวันที่หนาวเย็นและมีหิมะตกในเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อโลงศพของชาร์ลส์ถูกหย่อนลงไปในห้องฝังพระศพซึ่งบรรจุร่างของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และพระราชินีเจน ซีเมอร์
    หลายปีต่อมา ราชวงศ์ “ลืม” ร่างของชาร์ลส์ไป บางคนคิดว่าชาร์ลส์ที่ 2 พระราชโอรสของพระองค์อาจนำร่างของพระองค์ไปฝังใหม่ที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มก่อสร้างสุสานที่โบสถ์เซนต์จอร์จในปี 1813 คนงานได้บังเอิญเปิดช่องบนผนังห้องเก็บศพที่ฝังพระศพของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และพระนางเจน ซีเมอร์
    นอกจากโลงศพของพระเจ้าเฮนรีและพระนางเจนแล้ว ยังมีโลงศพอีกสองโลง โลงศพที่สามถูกคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำ และยังมีโลงศพไม้มะฮอกกานีขนาดเล็กมากที่หุ้มด้วยกำมะหยี่สีแดงเข้มอีกด้วยโลงศพนี้วางอยู่บนผ้าคลุมของพระเจ้าชาร์ลส์
    โลงศพขนาดเล็กนี้บรรจุทารกที่เสียชีวิตในครรภ์ของราชินีแอนน์ในสมัยที่พระองค์เป็นเจ้าหญิงแห่งเดนมาร์ก เมื่อเจ้าชายผู้สำเร็จราชการทราบเรื่องการค้นพบนี้ พระองค์จึงทรงอนุมัติให้ตรวจสอบโลงศพ การค้นพบนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 1813
    เจ้าชายผู้สำเร็จราชการเสด็จเข้าไปในห้องฝังศพ พร้อมด้วยดยุคแห่งคัมเบอร์แลนด์ เคานต์มุนสเตอร์ คณบดีแห่งวินด์เซอร์ เบนจามิน ชาลส์ สตีเวนสัน และเซอร์เฮนรี่ ฮาลฟอร์ด
    ผ้ากำมะหยี่สีดำถูกดึงออกเผยให้เห็นโลงศพตะกั่วธรรมดามีพระนามของพระเจ้าชาร์ลส์จารึกไว้ และปี ค.ศ. 1649 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์สวรรคต จากนั้นจึงเปิดฝาโลงและนำผ้าที่ปิดอยู่บนเศียรของกษัตริย์ออก
    เซอร์ เฮนรี ฮาลฟอร์ดรายงานว่าเขาเห็นใบหน้ารูปไข่เรียวยาวพร้อมเคราแหลม ซึ่งดูคล้ายกับที่อยู่บนเหรียญ รูปปั้นครึ่งตัว และรูปภาพของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 มาก
    ศีรษะถูกนำออกจากโลงศพเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด มีการสังเกตเห็นว่าศีรษะถูกแยกออกจากร่างด้วยการกระแทกอย่างแรง
    ซึ่งเมื่อรวมกับจารึกบนโลงศพแล้ว พิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่านี่คือพระบรมศพของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 จริงๆ ส่วนที่เหลือของร่างกายไม่ได้รับการตรวจสอบ และโลงศพถูกบัดกรีไว้
    เรื่องราวของเราจะจบลงที่นี่หากไม่มีการเปิดห้องฝังศพบางส่วนอีกครั้งในวันที่ 13 ธันวาคม 1888 และเหตุผลที่น่าสนใจว่าทำไมเหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้น....
    ดูเหมือนว่าเมื่อมีการเปิดโลงศพครั้งแรกในปี 1813 แพทย์ประจำราชวงศ์เซอร์ เฮนรี่ ฮาลฟอร์ด ได้นำกระดูกบางส่วนจากร่างของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1ออกมา ซึ่งรวมถึงกระดูกสันหลังส่วนคอที่สี่ซึ่งมีรอยของขวาน ตลอดจนฟันและเคราบางส่วนของเขา ฮาลฟอร์ดอ้างว่าหลังจากปิดโลงศพแล้ว สิ่งของทั้งสามชิ้นนี้ ไม่ได้รวมอยู่ในโลงด้วย
    ในปี 1888 กระดูกดังกล่าวได้ถูกส่งไปอยู่ในมือของอัลเบิร์ต เจ้าชายแห่งเวลส์ โดยหลานชายของเซอร์เฮนรี ฮาลฟอร์ด
    เจ้าชายทรงแจ้งให้เจ้าคณะแห่งโบสถ์เซนต์จอร์จทราบว่า พระองค์ได้รับอนุญาตจากพระราชินีวิกตอเรีย พระมารดาแล้วให้คืนโบราณวัตถุเหล่านี้ไว้ที่ห้องเก็บศพ
    เวลา 18.00 น. ของวันที่ 13 ธันวาคม 1888 เจ้าคณะเดวิดสันได้ควบคุมดูแลการเคลื่อนย้ายแผ่นหินปูพื้นที่มีจารึกเหนือห้องเก็บศพ และแผ่นหินอ่อนสีดำและสีขาว 6 แผ่นออกไป เจ้าชายแห่งเวลส์เสด็จมาถึงหลัง 19.00 น. เล็กน้อย และทรงหย่อนกล่องบรรจุกระดูกลงมา แล้ววางไว้ตรงกลางโลงศพของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1
    จากนั้นเจ้าชายก็จากไป และห้องเก็บศพก็ถูกปิดทันที การดำเนินการทั้งหมดกระทำไปด้วยความเหมาะสมและสมศักดิ์ศรีสูงสุด
    อย่างไรก็ตาม สิ่งของอีกชิ้นหนึ่งยังคงอยู่ในคอลเลกชันของราชวงศ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขุดศพครั้งแรกในปี 1813 ซึ่งก็คือสร้อยคอทองคำและเคลือบอีนาเมลอันสวยงาม ซึ่งจอร์จประทานให้กับเจ้าหญิงชาร์ล็อตต์ พระธิดาของพระองค์ ภายในมีเส้นผมอยู่
    มีจารึกยืนยันว่านี่คือพระเกศาของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ซึ่งถูกนำออกจากพระเศียรของพระองค์ในการขุดศพเมื่อปี 1813
    นับตั้งแต่มีการเปิดห้องเก็บศพครั้งที่สองในปี 1888 พระบรมศพของพระโอรสที่เสียชีวิตในครรภ์ของราชินีแอนน์ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 พระเจ้าเฮนรีที่ 8 และพระราชินีเจน ซีเมอร์ ก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม
    the-lothians.blogspot/the-discovery-and-opening-of-coffin
    Sources - britishlibrary/opening-the-coffin-of-king-charles-i
    -------------------------------------------------------------------
    คำเตือน : ข้อมูล,ข้อความ หรือบทความที่แปลและเรียบเรียงโดยเพจ The Secret Chamber อนุญาตให้คัดลอก,ทำซ้ำได้ แต่ห้ามแก้ไข,ดัดแปลง หรือตัดชื่อเพจท้ายบทความออก
    (หนังสือ เอกสาร บทความ หรือนิยาย ที่ถูกแปลมาเป็นอีกภาษาหนึ่งถือเป็นงานที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ )
    -------------------------------------------------------------------
    The Secret Chamber
    ภายในโลงศพของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 1 ที่ถูกประหารชีวิต ชาร์ลส์ที่ 1 เป็นชายที่ขี้อาย ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ซึ่งสร้างหายนะให้กับกษัตริย์ หลังจากที่เขาถูกประหารชีวิตในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1649 ร่างของเขาที่ผ่านการทำศพแล้วจะถูกบรรจุลงในโลงและนำไปที่โบสถ์เซนต์เจมส์ การฝังศพของเขาที่วินด์เซอร์จัดขึ้นโดยไม่มีพิธีรีตองใดๆ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1649 การที่ชาร์ลส์ที่ 1 ได้รับการฝังศพ ไม่ต้องพูดถึงการฝังที่พระราชวังวินด์เซอร์ ถือเป็นเรื่องโชคดีอย่างยิ่ง รายงานระบุว่าศีรษะของชาร์ลส์ถูกเย็บกลับเข้ากับร่างของเขาบนโต๊ะใหญ่ในคณบดีที่วินด์เซอร์ นี่คือที่ที่โลงศพถูกวางไว้ชั่วครู่หลังจากมาถึงปราสาทวินด์เซอร์ อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่สนับสนุนการกล่าวอ้างนี้ยังมีน้อย เป็นวันที่หนาวเย็นและมีหิมะตกในเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อโลงศพของชาร์ลส์ถูกหย่อนลงไปในห้องฝังพระศพซึ่งบรรจุร่างของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และพระราชินีเจน ซีเมอร์ หลายปีต่อมา ราชวงศ์ “ลืม” ร่างของชาร์ลส์ไป บางคนคิดว่าชาร์ลส์ที่ 2 พระราชโอรสของพระองค์อาจนำร่างของพระองค์ไปฝังใหม่ที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มก่อสร้างสุสานที่โบสถ์เซนต์จอร์จในปี 1813 คนงานได้บังเอิญเปิดช่องบนผนังห้องเก็บศพที่ฝังพระศพของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และพระนางเจน ซีเมอร์ นอกจากโลงศพของพระเจ้าเฮนรีและพระนางเจนแล้ว ยังมีโลงศพอีกสองโลง โลงศพที่สามถูกคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำ และยังมีโลงศพไม้มะฮอกกานีขนาดเล็กมากที่หุ้มด้วยกำมะหยี่สีแดงเข้มอีกด้วยโลงศพนี้วางอยู่บนผ้าคลุมของพระเจ้าชาร์ลส์ โลงศพขนาดเล็กนี้บรรจุทารกที่เสียชีวิตในครรภ์ของราชินีแอนน์ในสมัยที่พระองค์เป็นเจ้าหญิงแห่งเดนมาร์ก เมื่อเจ้าชายผู้สำเร็จราชการทราบเรื่องการค้นพบนี้ พระองค์จึงทรงอนุมัติให้ตรวจสอบโลงศพ การค้นพบนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 1813 เจ้าชายผู้สำเร็จราชการเสด็จเข้าไปในห้องฝังศพ พร้อมด้วยดยุคแห่งคัมเบอร์แลนด์ เคานต์มุนสเตอร์ คณบดีแห่งวินด์เซอร์ เบนจามิน ชาลส์ สตีเวนสัน และเซอร์เฮนรี่ ฮาลฟอร์ด ผ้ากำมะหยี่สีดำถูกดึงออกเผยให้เห็นโลงศพตะกั่วธรรมดามีพระนามของพระเจ้าชาร์ลส์จารึกไว้ และปี ค.ศ. 1649 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์สวรรคต จากนั้นจึงเปิดฝาโลงและนำผ้าที่ปิดอยู่บนเศียรของกษัตริย์ออก เซอร์ เฮนรี ฮาลฟอร์ดรายงานว่าเขาเห็นใบหน้ารูปไข่เรียวยาวพร้อมเคราแหลม ซึ่งดูคล้ายกับที่อยู่บนเหรียญ รูปปั้นครึ่งตัว และรูปภาพของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 มาก ศีรษะถูกนำออกจากโลงศพเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด มีการสังเกตเห็นว่าศีรษะถูกแยกออกจากร่างด้วยการกระแทกอย่างแรง ซึ่งเมื่อรวมกับจารึกบนโลงศพแล้ว พิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่านี่คือพระบรมศพของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 จริงๆ ส่วนที่เหลือของร่างกายไม่ได้รับการตรวจสอบ และโลงศพถูกบัดกรีไว้ เรื่องราวของเราจะจบลงที่นี่หากไม่มีการเปิดห้องฝังศพบางส่วนอีกครั้งในวันที่ 13 ธันวาคม 1888 และเหตุผลที่น่าสนใจว่าทำไมเหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้น.... ดูเหมือนว่าเมื่อมีการเปิดโลงศพครั้งแรกในปี 1813 แพทย์ประจำราชวงศ์เซอร์ เฮนรี่ ฮาลฟอร์ด ได้นำกระดูกบางส่วนจากร่างของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1ออกมา ซึ่งรวมถึงกระดูกสันหลังส่วนคอที่สี่ซึ่งมีรอยของขวาน ตลอดจนฟันและเคราบางส่วนของเขา ฮาลฟอร์ดอ้างว่าหลังจากปิดโลงศพแล้ว สิ่งของทั้งสามชิ้นนี้ ไม่ได้รวมอยู่ในโลงด้วย ในปี 1888 กระดูกดังกล่าวได้ถูกส่งไปอยู่ในมือของอัลเบิร์ต เจ้าชายแห่งเวลส์ โดยหลานชายของเซอร์เฮนรี ฮาลฟอร์ด เจ้าชายทรงแจ้งให้เจ้าคณะแห่งโบสถ์เซนต์จอร์จทราบว่า พระองค์ได้รับอนุญาตจากพระราชินีวิกตอเรีย พระมารดาแล้วให้คืนโบราณวัตถุเหล่านี้ไว้ที่ห้องเก็บศพ เวลา 18.00 น. ของวันที่ 13 ธันวาคม 1888 เจ้าคณะเดวิดสันได้ควบคุมดูแลการเคลื่อนย้ายแผ่นหินปูพื้นที่มีจารึกเหนือห้องเก็บศพ และแผ่นหินอ่อนสีดำและสีขาว 6 แผ่นออกไป เจ้าชายแห่งเวลส์เสด็จมาถึงหลัง 19.00 น. เล็กน้อย และทรงหย่อนกล่องบรรจุกระดูกลงมา แล้ววางไว้ตรงกลางโลงศพของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 จากนั้นเจ้าชายก็จากไป และห้องเก็บศพก็ถูกปิดทันที การดำเนินการทั้งหมดกระทำไปด้วยความเหมาะสมและสมศักดิ์ศรีสูงสุด อย่างไรก็ตาม สิ่งของอีกชิ้นหนึ่งยังคงอยู่ในคอลเลกชันของราชวงศ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขุดศพครั้งแรกในปี 1813 ซึ่งก็คือสร้อยคอทองคำและเคลือบอีนาเมลอันสวยงาม ซึ่งจอร์จประทานให้กับเจ้าหญิงชาร์ล็อตต์ พระธิดาของพระองค์ ภายในมีเส้นผมอยู่ มีจารึกยืนยันว่านี่คือพระเกศาของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ซึ่งถูกนำออกจากพระเศียรของพระองค์ในการขุดศพเมื่อปี 1813 นับตั้งแต่มีการเปิดห้องเก็บศพครั้งที่สองในปี 1888 พระบรมศพของพระโอรสที่เสียชีวิตในครรภ์ของราชินีแอนน์ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 พระเจ้าเฮนรีที่ 8 และพระราชินีเจน ซีเมอร์ ก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม the-lothians.blogspot/the-discovery-and-opening-of-coffin Sources - britishlibrary/opening-the-coffin-of-king-charles-i ------------------------------------------------------------------- ⚠️ คำเตือน : ข้อมูล,ข้อความ หรือบทความที่แปลและเรียบเรียงโดยเพจ The Secret Chamber อนุญาตให้คัดลอก,ทำซ้ำได้ แต่ห้ามแก้ไข,ดัดแปลง หรือตัดชื่อเพจท้ายบทความออก (หนังสือ เอกสาร บทความ หรือนิยาย ที่ถูกแปลมาเป็นอีกภาษาหนึ่งถือเป็นงานที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ) ------------------------------------------------------------------- The Secret Chamber
    0 Comments 0 Shares 3K Views 0 Reviews
More Results
fornote https://fornote.in.th